สำหรับซีรี่ย์ 3 รุ่นนี้จะใช้รหัสตัวถัง F 30 ถูกเปิดตัวมาในช่วงปลายปี 54 ในงานมอเตอร์โชว์ถือเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 6 ของซีรี่ย์ 3 ที่ผลิตออกมาขาย ซึ่งเป็นความสำเร็จด้วยยอดขายกว่า 12 ล้านคัน หลังจากเปิดตัวรถรุ่นแรกในปี 1975
E 21 เป็นตัวถังแรกของซีรี่ย์ 3 ถูกผลิตออกมาในช่วงปี 1975 -1983 ถัดมาจะเป็นตัวถัง E 30 ในบ้านเรารู้จักกันดีกับเครื่องยนต์ M 10 คาร์บูเรเตอร์ ผลิตออกมาในช่วงปี 1983-1991 ในรุ่นนี้จะมีรถแรงในรุ่น M ออกมาเป็นรุ่นแรกโดยใจคนที่รักความเร็วเป็นอย่างมาก
E 36 หรือโฉมนกแก้ว มีทั้งเครื่องยนต์ M 40 และ M 43 ที่คนไทยคุ้นเคยกับรุ่น 318 i เป็นอย่างดี ผลิตในปี 1991-1998 ใช้โคมไฟหน้าแบบสี่เหลี่ยม ในรุ่นนี้จะมี M 3 แบบ 4 ประตูออกมาขายด้วย
E 46 ถูกผลิตออกมาในปี 1998-2005 หลายคนเรียกรุ่นตาถั่ว จากไฟหน้าที่ออกแบบต่างไปจากรุ่นแรกถูกผลิตจากโรงงาน BMW ที่ระยองในปี 2000 ซึ่งเสริมรุ่นแรงอย่าง 330i เพื่อให้เห็นว่ามีเครื่องยนต์แรงๆ ให้เลือกด้วยเช่นกัน
จากไส้กรอกที่โดนหั่นเป็นชิ้นตามความยาวที่ต้องการเป็นคำเปรียบเปรยสำหรับ BMW ที่มีความคล้ายกันของแต่ละซีรี่ย์ ทำให้นักออกแบบของ BMW ได้สร้างความแตกต่างให้กับ E 90 ที่ผลิตช่วง 2005 -2011 ให้แตกต่างไปจากรุ่นพี่ รวมถึงมีเครื่องยนต์แรงระดับ 258 แรงม้า ให้เลือกในรุ่น 330 i ด้วย
F 30 รุ่นนี้ประเดิมด้วยเครื่องยนต์ดีเซลยอดฮิตในรุ่น 320d เป็นรถที่มีตัวถังใหญ่ขึ้น ทุกมิติใหญ่กว่าซี่รี่ย์ 5 โฉมบิ๊กโนสทำให้ได้พื้นที่ใช้สอยเพิ่มมากขึ้น
ความกว้างด้านหน้าเพิ่มขึ้น 37 มม. ฐานล้อยาวขึ้น 50 มม. โดยมีความยาวโดยรวมเพิ่มขึ้น 93 มม.รวมถึงความสูงเพิ่มขึ้น 9 มม. เป็นการเติบโตที่มักจะใช้กันกับการปรับเปลี่ยนโฉมรถแต่ละครั้ง
BMW ยังคงเป็นเอกลักษณ์ไตคู่เอาไว้เช่นเดิม แต่เพิ่มลูกเล่นของชายล่างกันชนหน้าให้ดูสปอร์ตมากขึ้น รวมถึงการเลือกใช้ไฟที่มีเส้นต่อเชื่อมไปยังกระจังหน้า โดยมีให้ทั้งแบบ 8 ซี่ ในรุ่นสปอร์ตและ 11 ซี่ในรุ่นลักซ์ชัวรี่และโมเดิร์น
เส้นสายของตัวถังยังคงอยู่ครบ แต่เพิ่มให้ไหล่คู่หน้าเพื่อให้ดูเข้มขึ้น ท้ายรถมีความเป็นสปอร์ตมากขึ้นพร้อมความกว้างเพิ่มขึ้นอีก 7 มม. และใช้ไฟท้ายที่มีสัญญาณกระพริบหากกระทืบเบรกแรงๆ ในช่วงความเร็วเกิน 50 กม./ชม. ขึ้นไป
การออกแบบภายในก็สามารถเพิ่มความกว้างได้ตามสัดส่วนของรถที่ใหญ่ขึ้น โดยมีรูปแบบของเบาะให้เลือกตามแบบของรถ หากเป็นรุ่นสปอร์ตก็จะได้ปีกข้างที่ยื่นออกมาเพื่อความกระชับของลำตัวกับเบาะจะได้สาดโค้งได้แรงขึ้นโดยตัวไม่หลุดจากเบาะ
อีกทั้งในรุ่นสปอร์ตยังมีเกียร์ในโหมดสปอร์ตพลัสสำหรับปรับการทำงานของพวงมาลัย การทำงานของเครื่องยนต์และเกียร์ให้เข้ากับการขับขี่แบบสปอร์ตที่หนักแน่นขึ้น
การออกแบบอุปกรณ์ต่างๆ จะหันเข้าคนขับที่เป็นจุดศูนย์กลาง รวมไปถึงเบรกมือด้วย จะเห็นถึงความแตกต่างไปจากรุ่นที่แล้วอย่างชัดเจน
มีการออกแบบให้แผงคอนโซลมีริ้ว 2 ข้าง พร้อมกับเพิ่มการจัดวางขวดน้ำตรงแผงประตู สำหรับขวดน้ำขนาด 1 ลิตร ได้ ส่วนตรงคอนโซลกลางก็มี 2 ช่องสำหรับใส่ขวดหรือแก้วน้ำ รวมถึงการขยายช่วงวางขาของเบาะหลัง 15 มม.และส่วนศีรษะอีก 18 มม.
ด้านหลังจะมีพื้นที่เก็บของเพิ่มขึ้นเป็น 480 ลิตรซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในรุ่นนี้ อุปกรณ์อย่างไอไดรว์ก็จะเปลี่ยนจอขึ้นไปวางโล่งๆ อยู่บนแผงคอนโซลตามเทรนที่นิยมกันสำหรับเชื่อมต่ออินโฟเทนเมนต์ รองรับการใช้งานของอุปกรณ์ต่างๆ หน้าปัดจะมี4 จอพร้อมฟังก์ชั่นดิสเพลย์ที่แสดงข้อมูลในการขับขี่ให้พร้อม
เครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 1955 ซีซี ที่ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่แรงบิด 380 นิวตัน -เมตร ใช้การเพิ่มพลังจากเครื่องยนต์ ดีเซลคอมมอนเรล วาล์วแปรผันและเทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์ ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด หากใช้โหมดสปอร์ตจะทำงานแค่ 6 เกียร์ เพื่ออัตราเร่งที่รวดเร็วทันใจ ส่วนโหมดทั่วๆ ไปจะเป็นเกียร์ 8 ทำให้รอบเครื่องยนต์ต่ำ หากใช้รอบเครื่องยนต์ 2,000 รอบ / นาที ก็จะได้ความเร็ว 130 กม./ชม. ส่วนการขับแบบอีโคโปรก็จะได้อัตราบริโภคที่ประหยัดถึง 22.7 กม./ลิตร ส่วนที่ดีขึ้นเห็นได้ชัดคือช่วงล่างที่ปรับให้นุ่มขึ้นไม่กระด้างแบบเก่า แม้ว่าจะใช้ยางแบบรันแฟล็ตเหมือนเก่าก็ตามทำให้นั่งสบาย การเข้าโค้งทำได้เม่นยำ เป็นการปรับเปลี่ยนที่ดีขึ้น