สำหรับเอ็กซิจ คัพ 260 เป็นรถสปอร์ตที่ออกแบบมาให้เป็นรถที่ใช้งานในสนามได้เลยโดยแทบจะไม่ต้องปรับแต่งใดๆ เพราะรถรุ่นนี้จะต่างจากตัวเอ็กซิจธรรมดาที่ใช้ตัวถังอลูมิเนียมผสมไฟเบอร์ แต่ในรุ่นเอ็กซิจ คัพ 260 จะเป็นตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์เป็นวัสดุที่ใช้กับพวกรถแข่งอยู่แล้วน้ำหนักเบากว่า แข็งแรงกว่า
การใช้คาร์บอนไฟเบอร์ในจุดต่างๆ ช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ 12 กก. รวมถึงชิ้นส่วนต่างๆ อย่างพวกแบตเตอร์รี่ แบบแห้งลูกเล็กแต่จ่ายไฟได้เยอะ ล้ออัลลอยด์ 5 ก้านขึ้นรูปแบบฟอร์จแข็งแรงเบาเป็นพิเศษ รวมถึงจุดอื่นๆ ก็ช่วยลดน้ำหนักได้อีก 22 กก.
เมื่อทำไว้ให้ลงแข่งด้วย อุปกรณ์ต่างๆ ที่ไม่จำเป็นจะถูกถอดออกไป อย่างพวกพรมปูพื้น ยางบังโคลน ฝาครอบแบตเตอรี่ และอีกหลายๆจุดที่อาจเป็นอันตรายหากเกิดอุบัติเหตุในสนาม ทำให้รถรุ่นนี้มีอัตราส่วน น้ำหนัก 3.42 กก.ต่อแรงม้าหากจะลงแข่งก็สามารถทำได้แต่อาจจะต้องมีเสริมอุปกรณ์อีกบางรายการเข้าไป

ด้านหน้าของเอ็กซิจ คัพ 260 อาจจะไม่สวยสักเท่าไหร่เมื่อมองทางด้านข้างเพราะจะเตี้ยมากเนื่องจากไม่ต้องใช้งานอะไรมาก มีแค่แผงรังผึ้งระบายความร้อนของหม้อน้ำกับเครื่องปรับอากาศที่มีพัดลมคอยดูดอากาศผ่านช่องว่างบนฝากระโปรงหน้าลงไป

ด้านหน้าจะเปิดไม่ได้ถูกแบบเป็นชิ้นเดียวกันโดยใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ พอดูจากกระจกหน้าไล่ไปด้านหลังค่อยดูดีหน่อยกับการออกแบบที่เป็นตัวตนของโลตัสที่ถ่ายทอดประสบการณ์มาจากมอเตอร์สปอร์ตในคลาส จีที 3 แล้วนำมาพัฒนาเป็นรถสปอร์ตโรดสเตอร์ให้วิ่งบนท้องถนนได้ด้วยน้ำหนักตัวแค่ 890 กก.

รถรุ่นนี้ออกแบบมาตามหลักอากาศพลศาสตร์ต่างไปจากเอ็กซิจ เอส เป็นการยกระดับที่ได้รับอิทธิพลมาจากเอ็กซิจ จีที 3 รถต้นแบบที่ได้โชว์ตัวเมื่อปี 2007 สปอยเลอร์หลังแบบมีจุดยึดพร้อมปีกสปอยเลอร์หลังถูกถ่ายทอดมาให้ เป็นปีกสปอยเลอร์คาร์บอนไฟเบอร์ไม่พ่นสีที่กว้างขึ้นและยกตัวสูงขึ้นสำหรับการบังคับอากาศให้ไหลเวียนได้เพียงพอรองรับการขับด้วยความเร็วสูงได้อย่างมีเสถียรภาพ ลดการลื่นไถลเพิ่มแรงกดหรือดาวน์ฟอร์จให้รถแนบติดถนนกับแรงกดสูงถึง 42 กก. เมื่อใช้ความเร็ว 160 กม./ชม.
หน้ารถใช้สปอยเลอร์โมเดล 2010 มีช่องดักอากาศขนาดใหญ่ 3 ช่อง สำหรับนำอากาศเข้าสู่แผงออยล์คูลเลอร์คู่ มีพัดลมระบายความร้อนน้ำหนักเบาทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ใช้ไฟหน้าทรงเรียวยาวจรดแก้ม กระโปรงหน้า
บนหลังคามีช่องรับลมสำหรับลำเลียงอากาศวิ่งเข้าสู่ห้องเครื่องเอาไว้เป่าอินเตอร์คูลเลอร์ทำให้รถคันนี้ไม่มีกระจกหลัง การจัดการกระแสลมที่ผ่านรถจะใช้แผงรีดลมที่ติดตั้งไว้ด้านท้ายใต้กันชน และแผงข้างซุ้มล้อที่พัฒนามาจากตัว จีที 3 มีการปรับแต่งของด้านท้ายเพื่อให้แข็งแรงขึ้น ช่วยเพิ่มเสถียรภาพในการควบคุมรถที่แตกต่างไปจากเดิม

ตัวแผงรีดลม ( Diffuser ) ด้านหลังและด้านข้างจะถูกยึดลงบนโครงสร้างตัวถังด้านหลังเยื้องจากตำแหน่งของระบบกันสะเทือน เพื่อรองรับน้ำหนักเมื่อแผงรีดลมทำงานทำให้ควบคุมรถได้ดี ยิ่งเป็นการใช้งานในสนามสำหรับยางสลิกก็จะเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น
การเข้าห้องโดยสารอาจจะยากสักหน่อยเพราะคานประตูอยู่ในระดับสูงเพื่อความแข็งแรง เข้าไปนั่งบนเบาะรถแข่งแบบหลังแข็งก็ปรับได้แค่เลื่อนเบาะเดินหน้าถอยหลังเท่านั้น เป็นเบาะรถแข่งที่กระชับพอดีตัว ทำให้ควบคุมรถง่ายเมื่อสาดโค้งแรงๆ
พวงมาลัยวงเล็กหนักนิดหน่อยช่วงความเร็วต่ำ ความสบายก็มีระบบปรับอากาศมาให้ ข้างๆพวงมาลัยมีตัวปรับรอบไว้ให้ใช้รอบสูงๆ เวลาจั๊มพ์สตาร์ท หนึบกับการเกาะถนนซึ่งชื่อเสียงของโลตัสโด่งดังอยู่แล้วในเรื่องของช่วงล่าง
รถรุ่นนี้ใช้โช้คอัพของโอลินส์( Ohlins )มีซับแท็งค์มาให้ทั้ง 4 ตัว สามารถปรับระดับได้ 2 ทิศทาง ทำให้เลือกปรับช่วงล่างได้ตามความชอบหรือแต่ละแบบของการใช้งาน ทั้งในสนามจนถึงท้องถนน สามารถปรับลดให้ต่ำลงจาก 130 มม. เป็น 120 มม. ได้ ส่วน แอนตี้-โรลบาร์ ด้านหน้าทางโลตัสจะให้ลูกค้าสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ
ตำแหน่งการวางเครื่องยนต์ของเอ็กซิจ คัพ 260 จะวางเครื่องยนต์แถวเรียงสี่สูบทวินแคม 16 วาล์ว เอาไว้ในสไตล์รถขับหน้าแต่อยู่ตรงกลางรถแทน ด้านบนจะมีอินเตอร์คูลเลอร์หนาๆสำหรับระบายความร้อนให้อากาศที่ถูกอัดมาจากซูเปอร์ชาร์จ
ด้วยระบบวาล์วแปรผันคู่ช่วยให้มีกำลังพร้อมใช้ถึง 260 แรงม้า ที่ 8,000 รอบต่อนาที แรงบิด 236 นิวตันเมตร ที่ 6,000 รอบต่อนาที จากเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีด
การขับง่ายสำหรับการควบคุม คลัตซ์เบาไม่แตกต่างจากรถเกียร์ธรรมดาทั่วๆไป อัตราเร่งมาอย่างต่อเนื่อง ควบคุมรถง่าย ไม่กระตุกในรอบต่ำ ไม่มีอาการรอรอบทำให้ขับง่ายในสภาพจราจรที่ติดขัด เสียงจากปลายท่อก็ไม่แผดสียงบาดหู
ซูเปอร์ชาร์จ Eaton M 62 ใช้กลไกระบบปิดจึงไม่ต้องใช้น้ำมันเครื่องไปหล่อลื่น รับลมเย็นๆจากท่อดักลมบนหลังคา ช่วยให้อากาศถูกจัดระเบียบก่อนเข้าห้องเผาไหม้ เมื่อได้แรงดันสูงของน้ำมันผ่านหัวฉีดก็ได้การเผาไหม้ที่สมบูรณ์ ทำให้เป็นรถสปอร์ตฝีเท้าจัดที่ควบคุมง่ายน่าเหลือเชื่อ