ดร. โวคมาร์ เดนเนอร์ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทบ๊อช นำเสนอตัวเลขผลประกอบการเบื้องต้นโดยกล่าวว่า “แม้ภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยและยอดการผลิตรถยนต์ที่ลดลง ส่งผลกระทบต่อธุรกิจด้านอื่น ๆ ของบ๊อช แต่ด้วยความหลากหลายทางธุรกิจ ส่งผลให้บ๊อชยังสามารถขยายฐานธุรกิจที่มีอยู่ พร้อมทั้งพัฒนาธุรกิจใหม่ให้เกิดขึ้น อย่างไรก็ดี ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายเช่นนี้ บริษัทยังคงลงทุนต่อเนื่องในด้านที่ธุรกิจมีการเติบโตสูงภายในปีนี้ บ๊อช มีแผนลงทุนกว่า 1 พันล้านยูโร เพื่อพัฒนาระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าอัตโนมัติที่เชื่อมต่อกันสำหรับอนาคตข้างหน้า
ในปีพ.ศ. 2562 บ๊อช ทำกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) ราว 3 พันล้านยูโร ส่งผลให้อัตราส่วนกำไร EBIT ต่ำกว่าร้อยละ 4 เล็กน้อย ซึ่งเป็นผลจากภาคการผลิตของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ถดถอย โดยเฉพาะในตลาดหลักอย่างจีนและอินเดีย อีกทั้งสัดส่วนการใช้เครื่องยนต์ดีเซลที่ลดลง จากการปรับต้นทุนทางโครงสร้าง (โดยเฉพาะในตลาดเทคโนโลยีแห่งการขับเคลื่อน) รวมถึงการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในส่วนของโครงการที่คาดว่าจะมีความสำคัญในอนาคต
ระบบการขับเคลื่อนแห่งอนาคต กับการเปลี่ยนแปลงที่ท้าทาย
บ๊อช วางภาพอนาคตแห่งการขับเคลื่อนไว้อย่างชัดเจน รวมถึงวางแนวทางสู่ทางเลือกใหม่ได้อย่างประสบผลสำเร็จด้วย “ระบบการขับเคลื่อนแห่งอนาคตจะไม่เป็นเพียงระบบที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าและเป็นระบบอัตโนมัติเท่านั้น แต่ยังเป็นระบบที่เชื่อมต่อและปรับให้เข้ากับความต้องการของผู้ใช้งานแต่ละคนได้” ดร.เดนเนอร์กล่าวพร้อมเสริมว่า การที่บ๊อช มีธุรกิจที่หลากหลาย ทำให้บริษัทมีความพร้อมมากกว่าบริษัทอื่นในการรองรับการพัฒนาและรับมือกับสภาวการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอุตสาหกรรม
บริษัทตั้งเป้าที่จะปรับโครงสร้างด้านต้นทุนและแรงงานให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง รวมถึงกำลังการผลิตที่เกินความต้องการในภาคอุตสาหกรรม โดยจะใช้แนวทางปฏิบัติที่เป็นธรรมต่อทุกฝ่ายและเป็นที่ยอมรับในทางสากล ดร.เดนเนอร์กล่าวว่า “เราบรรลุข้อตกลงเรื่องนี้ร่วมกับพันธมิตรเครือข่ายในพื้นที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Bamberg, Schwieberdingen และ Stuttgart-Feuerbach” เป้าหมายของการดำเนินงานครั้งนี้ ก็เพื่อแนะนำแนวทางและเปิดโอกาสให้พนักงานแต่ละบุคคล ได้ก้าวหน้า รวมทั้งรักษาบุคลากรและทักษะความชำนาญเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
ระบบการขับเคลื่อนแห่งอนาคต และโอกาสทางธุรกิจสำหรับบ๊อช
สำหรับเทคโนโลยีใหม่ๆ อาทิ อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง หรือ ไอโอที (IoT) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเซลล์เชื้อเพลิง ล้วนจะช่วยผลักดันเข้าไปสู่ยุคการขับเคลื่อนทางเลือกใหม่ ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรม บ๊อช มีความได้เปรียบจากการพัฒนาในด้านนี้ตั้งแต่แรกๆ นอกจากนี้ ผู้ผลิตยานยนต์รายใหม่ๆ ในตลาดยานยนต์ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า (electromobility) ก็ต้องการให้มีโซลูชั่นที่ครบสมบูรณ์มากกว่าได้โซลูชั่นเพียงบางส่วน ดร.เดนเนอร์กล่าวต่อไปว่า “ในฐานะที่เราเป็นผู้ให้บริการแบบครบวงจร การมีธุรกิจให้บริการระบบมากขึ้น หมายถึงโอกาสการทำยอดขายได้ถึงหลักพันล้าน” ในอนาคต บ๊อช จะได้ประโยชน์จากแนวโน้มตลาดที่เน้นไปในด้านอิเล็กทรอนิกส์และซอฟต์แวร์มากขึ้น โดยประเมินว่า ตลาดของระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่เน้นด้านซอฟต์แวร์จะเติบโตขึ้นร้อยละ 20 ต่อปีนับจากนี้ไปจนถึงปี พ.ศ. 2573 บ๊อช จึงได้จัดงบลงทุนราว 3.7 พันล้านยูโรต่อปีในการพัฒนาซอฟต์แวร์และมีวิศวกรซอฟต์แวร์มากถึง 30,000 คนในปัจจุบัน
ยกระดับความเชี่ยวชาญ ด้วยโครงการฝึกอบรมด้าน AI ให้พนักงาน 20,000 คน
ดร.เดนเนอร์เชื่อว่า กำลังคนที่มีความพร้อม เป็นปัจจัยที่จะทำให้ประสบความสำเร็จเชิงกลยุทธ์ พร้อมรับมือกับความท้าทายต่างๆ ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้ “บ๊อช มองตัวเราเองว่าเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ที่ซึ่งการศึกษาหาความรู้เป็นส่วนหนึ่งของงานในแต่ละวัน” ดร. เดนเนอร์กล่าว นอกจากบ๊อชจะลงทุนในการเสริมทักษะความเชี่ยวชาญของพนักงานแล้ว บ๊อช ยังเตรียมเปิดโครงการอบรมด้าน AI ให้แก่พนักงานเกือบ 20,000 คน ในรูปแบบการฝึกอบรม 3 ระดับ สำหรับผู้จัดการ วิศวกร และนักพัฒนา AI รวมทั้งวางแนวทางการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบด้วย
พัฒนาธุรกิจที่มีการเติบโตสูงด้วยงบราว 3 พันล้านยูโร
บ๊อช มุ่งขยายฐานธุรกิจที่ดำเนินการอยู่แล้วไปพร้อมกับการเปิดรับโอกาสสำหรับธุรกิจใหม่ด้วยเช่นกัน “ด้วยแนวคิดเช่นนี้ บริษัทจึงได้ลงทุนอย่างมากในการวางพื้นฐานด้านเทคโนโลยีแห่งอนาคตอันหลากหลาย” ดร.เดนเนอร์ กล่าว “ในช่วงระหว่างปีพ.ศ. 2556 – 2563 บ๊อช ได้วางแผนลงทุนกว่า 3 พันล้านยูโร ในธุรกิจใหม่ที่มีการเติบโตสูง” สำหรับปีนี้ บ๊อชจะลงทุนราว 500 ล้านยูโร ในด้านยานพาหนะระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า (electromobility) เพียงอย่างเดียวซึ่งรวมถึงเซลล์เชื้อเพลิงด้วย และจะลงทุนอีกกว่า 600 ล้านยูโร ในด้านการขับขี่อัตโนมัติ และอีก 100 ล้านยูโร ในด้านโซลูชั่นการขับเคลื่อนที่เชื่อมต่อกัน นอกจากนี้ ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2558 เป็นต้นมา บ๊อช ได้ลงทุนไปแล้ว 600 ล้านยูโร ในการขยายงานด้านที่เกี่ยวข้องกับ IoT ซึ่งรวมถึง แคมปัส IoT ของบ๊อชแห่งใหม่ในกรุงเบอร์ลิน พร้อมขยายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อด้วย
ใช้ความได้เปรียบเชิงแข่งขัน เสริมสร้างความเป็นผู้นำและเป็นกลางทางเทคโนโลยี
เมื่อต้องปรับตัวเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีใหม่ บ๊อช ได้ใช้ศักยภาพที่มีอย่างเต็มที่ เพื่อให้วางใจได้ว่าจะสามารถสร้างยอดขายในตลาดที่มีมูลค่านับพันล้านได้ ตัวอย่างเช่น ก่อนที่จะเปิดตัวระบบขับขี่อัตโนมัติที่ปลอดภัยในตลาด ก็ต้องมีเซ็นเซอร์หลักตัวที่สามเข้ามาเพิ่มเติมจากที่มีกล้องและเรดาร์แล้ว จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมบ๊อช จึงต้องทำผลิตภัณฑ์กลุ่มเซ็นเซอร์แบบครบวงจร และได้เริ่มผลิตเซ็นเซอร์ระยะไกลความเร็วสูง (lidar sensors) แล้ว นายเดนเนอร์อธิบายว่า “ผลิตภัณฑ์นี้จะมาเติมเต็มช่องว่างด้านเซ็นเซอร์ และทำให้การขับขี่อัตโนมัติใกล้ความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น”
เครื่องมือวัดระยะด้วยเลเซอร์นี้ มีความแม่นยำสูง ตรวจจับวัตถุในระยะไกลได้แม้จะไม่ใช่โลหะ เช่น ก้อนหินที่อยู่บนท้องถนน ซึ่งหมายความว่าเซ็นเซอร์จะทำงานจากระยะไกลเพื่อช่วยเพิ่มระยะเวลาในการชะลอหรือหยุดรถ หรือเปลี่ยนทิศทางของรถได้
นอกจากนี้ บ๊อช ยังรุดหน้าในเรื่องการพัฒนาระบบเซลล์เชื้อเพลิง (fuel-cell powertrain) ให้สามารถใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ของระบบส่งกำลังเซลล์เชื้อเพลิง พร้อมมีแผนเปิดตัวในปี 2565 อีกทั้งได้ลงทุนในระบบ เครื่องยนต์สันดาป (combustion engine) ที่มีประสิทธิภาพสูงอีกด้วย จากการวิจัยตลาดของบ๊อช เผยให้เห็นว่า สองในสามของรถยนต์ที่จะจดทะเบียนใหม่ในปีพ.ศ. 2573 ยังคงใช้เครื่องยนต์ดีเซลหรือใช้น้ำมันอยู่ อาจเป็นทั้งแบบมีหรือไม่มีระบบไฮบริดให้เลือก ดร.เดนเนอร์กล่าวต่อไปว่า “หนทางสู่การขับเคลื่อนที่สะอาด ปลอดก๊าซคาร์บอนฯ นั้น จะต้องใช้เทคโนโลยีที่เป็นกลาง ซึ่งเป็นทางเดียวที่จะทำให้ระบบขับเคลื่อนมีราคาที่เอื้อมถึงได้สำหรับบุคคลทั่วไป” ทางออกที่ตอบโจทย์คือ ระบบ ขับเคลื่อนที่ผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์สันดาปประสิทธิภาพสูงและมอเตอร์ไฟฟ้าเทคโนโลยีล้ำสมัย นอกจากนี้ ดร.เดนเนอร์ ยังมีความมุ่งมั่นในการใช้เชื้อเพลิงสังเคราะห์หมุนเวียนด้วย “ยานยนต์ในแบบเดิมนั้น ยังมีการใช้อยู่บนท้องถนน จึงต้องมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย เชื้อเพลิงสังเคราะห์หมุนเวียนจะช่วยให้กระบวนการสันดาปเป็นกลางต่อคาร์บอน” ดังนั้น ดร.เดนเนอร์ จึงได้เรียกร้องให้ผู้ที่มีบทบาทเชิงนโยบาย วางกรอบเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เป็นกลางเพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรม ขั้นตอนนี้จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการก้าวสู่ยุคระบบขับเคลื่อนทางเลือกใหม่ ให้ประสบผลสำเร็จ โดยยังคงรูปแบบเดิมไว้และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ด้วย
ไปไกลกว่าการขับเคลื่อนแห่งอนาคต ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ต่อเนื่อง
บ๊อชต้องการที่จะก้าวไปให้ไกลกว่าการขับเคลื่อนแห่งอนาคต โดยต้องการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ พร้อมสนับสนุนปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate action) บริษัทจึงต้องการรักษาสมดุลระหว่างเรื่องเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร และด้วยการที่บริษัทมุ่งไปสู่การเป็นผู้นำด้าน IoT บ๊อชจึงอาศัยเทคโนโลยีเอไอในการขับเคลื่อน “เราต้องการใช้เทคโนโลยีเอไอระดับอุตสาหกรรมมาพัฒนาให้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยลูกค้าในด้านต่างๆ และหวังว่าจะช่วยให้เราก้าวขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลกในด้านนี้” ดร.เดนเนอร์กล่าว
ด้วยความมุ่งมั่นดังกล่าว บ๊อชจึงลงทุนไปมากกว่า 100 ล้านยูโร กับการพัฒนาแคมปัสด้านเอไอ (AI campus) โดยเฉพาะ ณ เมืองทือบิงเงน นอกจากนี้ บริษัทยังได้ริเริ่มปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศอีกหลายโครงการ ที่สำคัญคือ ปลายปีพ.ศ. 2562 บ๊อชประสบความสำเร็จทำให้องค์กรมีความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) ได้ในสำนักงานทุกแห่งในเยอรมนี และภายในสิ้นปีพ.ศ. 2563 นี้ สำนักงานทุกแห่งทั่วโลกก็จะทำได้เช่นกัน “ปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศและการใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่า ทำให้บ๊อชมีโอกาสทางธุรกิจเพิ่มขึ้นอีกมากมาย” ดร.เดนเนอร์กล่าว ทั้งนี้ ในประเทศเยอรมนีเพียงแห่งเดียวก็จะใช้พลังงานหมุนเวียนผลิตไฟฟ้าได้มากถึงร้อยละ 45 ภายในปีพ.ศ. 2568 (ที่มา: BMWi) “จึงเป็นที่มาว่าทำไมเราจึงจะลงทุนถึง 100 ล้านยูโรเพื่อพัฒนาธุรกิจปั๊มความร้อน ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า”