ยางรถยนต์นั้นมีหลากหลายแบบ ทั้งขนาด ชนิดดอกยาง และประเภทการใช้งาน มือใหม่ควรใช้ยางที่เหมาะสมตามคำแนะนำในคู่มือเจ้าของรถ หรือสติกเกอร์ตรงขอบประตูรถฝั่งคนขับ ยางรถยนต์มีความแตกต่างกันตามประเภทรถที่ใช้ มอบสัมผัสและความสะดวกสบายตามการใช้งานรูปแบบต่างๆ โดยมี 3 ประเภทหลักคือ
- ยางรถยนต์ (Passenger Tire) – เหมาะสำหรับรถเก๋งทั่วไป ให้ความรู้สึกนุ่มนวลขณะขับขี่ ดอกยางมีอายุการใช้งานนาน
- ยางเพอร์ฟอร์แมนซ์ หรือยางทัวริ่ง (Performance Tire or Touring Tire) – เหมาะสำหรับรถเก๋งหรือรถสปอร์ต ที่มอบทั้งความสนุกสนานในการขับขี่และความสบายไปพร้อมกัน
- ยางรถบรรทุกขนาดเล็ก รถกระบะ หรือรถตู้ (Light Truck Tire) – เหมาะสำหรับรถที่ใช้บรรทุกของ หรือขนย้ายสัมภาระเป็นหลัก
วิธีการเลือกยางให้รถคู่ใจของเราสามารถใช้งานได้นานโดยไม่ต้องสลับยาง หรือเปลี่ยนยางบ่อยๆ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย สามารถพิจารณาได้ที่ตัวอักษรและตัวเลขบริเวณแก้มยาง ซึ่งเป็นตัวเลขมาตรฐานที่กำหนดมาโดย Uniform Tire Quality Grade (UTQG) จากหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคของสหรัฐอเมริกาบนยางรถยนต์ทุกยี่ห้อจะมีข้อมูลดังต่อไปนี้
- ค่าเทรดแวร์ (Treadwear) คือค่าวัดอัตราการสึกหรอของยาง ยิ่งยางมีค่าเทรดแวร์สูง ยิ่งสามารถวิ่งได้นานกว่า เพราะเนื้อยางจะมีความทนทานต่อการสึกหรอได้ดีกว่า เช่น ยางที่มีค่าเทรดแวร์ 200 จะใช้ได้นานกว่ายางที่มีค่าเทรดแวร์ 100
- ค่าการยึดเกาะถนน (Traction) คือเกรดวัดความสามารถในการหยุดรถบนถนนลื่น ยางที่เกรดสูงจะทำให้รถหยุดบนพื้นเปียกในระยะเบรกที่สั้นกว่าเกรดที่ต่ำกว่า โดยแบ่งจากสูงสุดไปต่ำสุดคือ AA, A, B และ C
- ค่าการระบายความร้อน (Temperature) คือเกรดวัดความสามารถในการทนความร้อนของยางกรณีที่ขับในอากาศร้อนซึ่งอาจทำให้ยางเสื่อมสภาพหรือแตกได้ จัดแบ่งเป็นเกรด A, B และ C
นอกจากแก้มยางจะแสดงค่าต่างๆ ที่เจ้าของรถจะสามารถพิจารณาประกอบการเลือกซื้อยางได้แล้ว ยังมีรหัส DOT บริเวณขอบยางด้านใน เป็นตัวเลขที่ต้องมีตามมาตรฐานความปลอดภัย National Highway Traffic Safety Administration (NHTSA) กำหนดโดยกระทรวงคมนาคมของสหรัฐอเมริกา (U.S. Department of Transportation – DOT) ทำให้ทราบว่ายางผลิตที่ไหน มีขนาดเท่าไร และผลิตเมื่อใด เพื่อให้ไว้วางใจได้ว่ายางที่เลือกจะมีคุณภาพ ขนาด และอายุการใช้งานที่เหมาะสมกับรถ ซึ่งสามารถพิจารณาได้ตามนี้
- รหัสโรงงานผู้ผลิต – ดูได้ที่รหัส 2 หลัก หลังคำว่า “DOT” จะแสดงรหัสโรงงานที่ผลิตยาง
- รหัสขนาดยาง – ดูได้ที่รหัส 2 หลัก หลังจากรหัสโรงงานที่ผลิต
- รหัสรุ่นยางผู้ผลิต – ดูได้ที่รหัส 3-4 หลัก หลังจากรหัสขนาดยาง
- วันที่ผลิตยาง – ดูได้ที่รหัส 4 หลักสุดท้าย ซึ่งจะระบุเลขสัปดาห์ และปี ค.ศ. ที่ผลิตยาง
เหตุผลที่ควรพิจารณาคุณสมบัติ ที่ระบุบนรหัส DOT เป็นเพราะจะช่วยทำให้มั่นใจได้ว่ายางรถยนต์ที่ใช้มี ผ่านกระบวนการการผลิตโดยแหล่งที่ไว้วางใจได้ มีขนาดถูกต้อง และมีอายุนับจากวันที่ผลิตใหม่พอที่จะทั้งใช้งานได้ทนทานเป็นเวลานาน และเก็บเป็นยางสำรองได้ในยามฉุกเฉินอีกด้วย