ครั้งแรกในการเปิดตัวในเมืองไทยปอร์เช่ คาเยนน์ ได้รับความนิยมมากเพราะค่าตัวตอนนั้นอยู่ที่ 5 ล้านบาทเท่านั้นเอง พอมีการปรับในเรื่องภาษีราคาก็ขยับตัวสูงขึ้นไปเรื่อยๆทำให้ไม่สามารถคบหากับเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ได้ แต่ในปัจจุบันพละกำลังไม่ได้ขึ้นอยู่กับความจุของเครื่องยนต์อีกต่อไป เพราะ คาเยนน์ ได้รับกำลังเสริมจากมอเตอร์ไฟฟ้าทำให้เครื่องยนต์แค่ 3.0 ลิตรก็สามารถพาตัวถังใหญ่ๆพุ่งทะยานไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วและสามารถกดราคาลงต่ำได้ในระดับ 7.5 ล้านบาทได้อีกด้วย
คาเยนน์ อี-ไฮบริด คือหนึ่งในผลงานอันเป็นตัวแทนที่แสดงออกถึงทิศทางการพัฒนายานพาหนะ พลังงานไฟฟ้าในอนาคตของปอร์เช่ ประจำการด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในสมรรถนะสูง ซึ่งผ่านการปรับแต่งจนมีกำลัง สูงสุดเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิมถึง 7 แรงม้า กับเครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด340 แรงม้า เสริมพลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า อีก136 แรงม้า ทำให้มีกำลังสูงสุดรวมกว่า 462 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุดถึง 700 นิวตันเมตร พร้อมนำพุ่งทะยานทันทีที่เหยียบคันเร่ง
การออกแบบระบบเสริมสมรรถนะได้รับการถ่ายทอดโดยตรงจากรถซูเปอร์สปอร์ต ปอร์เช่ 918 สไปเดอร์ ที่ถูกนำมาใช้อย่างลงตัว เพื่อให้มั่นใจว่ามอเตอร์ไฟฟ้าจะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเมื่ออยู่ภายใต้โปรแกรมการขับขี่ทุกรูปแบบของชุดแต่งสปอร์ตโครโน ซึ่งติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน นั่นหมายความว่าแรงบิดสูงสุดจะพร้อมตอบสนองต่อการบังคับควบคุมทุกครั้งที่สัมผัสคันเร่ง จึงสามารถสนุกสนานกับอัตราเร่งและแรงบิดมหาศาลในทุกรอบความเร็ว กำลังสำรองที่เหลือจากมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกเก็บสะสมเอาไว้ในแบตเตอรี่ระหว่างการเดินทางโดยขึ้นอยู่กับโปรแกรมการขับขี่ที่เลือกใช้งานขณะนั้น โหมด Sport และ Sport Plus เน้นการดึงสมรรถนะตัวรถออกมาจนถึงขีดสุด พลังงานจากแบตเตอรี่ทั้งหมดจะได้รับการนำมาใช้เพื่อสร้างอัตราเร่ง สำหรับโหมด Sport การชาร์จแบตเตอรี่จะเกิดขึ้นเพื่อให้เพียงพอต่อการเสริมพละกำลัง ในส่วนของโหมด Sport Plus แบตเตอรี่จะได้รับการชาร์จอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ โหมดการขับขี่อื่นๆ นั้นเหมาะสมกับลักษณะการขับขี่ที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมัน เชื้อเพลิงสูงสุด อัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในระยะเวลาเพียง 5.0 วินาทีเท่านั้น ความเร็วสูงสุดถึง 253 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถเดินทางได้ 441 กิโลเมตรและทำความเร็วได้ถึง 135 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเมื่อขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว
แบตเตอรี่ได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดเพื่อเพิ่มความจุในการเก็บสะสมพลังงาน เสริมขีดความสามารถทั้งในแง่ของพิสัยระยะการเดินทางและพละกำลังสำรองยามที่ต้องการอัตราเร่ง เมื่อเปรียบเทียบกับคาเยนน์รุ่นก่อนหน้า พบว่าความจุแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นจาก 10.8 เป็น 14.1 กิโลวัตต์ชั่วโมงหรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ การระบายความร้อนแบตเตอรี่ด้วยระบบ fluid-cooled ที่ติดตั้งลงบริเวณพื้นตัวถังด้านท้ายของรถ ประกอบด้วยโมดูลพลังงาน 8 ชุด ในแต่ละโมดูลคือเซลล์ prismatic lithium ion จำนวน 13 เซลล์ สามารถชาร์จแบตเตอรี่จนเต็มความจุภายในระยะเวลา 7.8 ชั่วโมง ด้วยแรงดันไฟฟ้า 230 โวลต์ ผ่านสายต่อขนาด 10 แอมป์ ในกรณีที่ใช้อุปกรณ์พิเศษ on-board charger 7.2 กิโลวัตต์ ด้วยไฟฟ้าแรงดัน 230 โวลต์ ผ่านสายต่อขนาด 32 แอมป์ ระบบชาร์จมาตรฐานแบบ 3.6 กิโลวัตต์แบตเตอรี่จะได้รับการชาร์จพลังงานจนเต็มความจุภายในระยะเวลาเพียง 2.3 ชั่วโมงเท่านั้น
การชาร์จพลังงานสามารถควบคุมและตรวจสอบผ่านระบบ PorscheCommunication Management (PCM) พร้อมสั่งรระบบปรับอากาศจาก Porsche Connect app ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มอุณหภูมิหรือลดอุณหภูมิในขณะปิดสวิทช์กุญแจ สามารถเลือกเชื่อมต่อด้วยโทรศัพท์มือถือได้ตามต้องการ นอกจากนี้ระบบ Porsche Connect ยังรองรับการค้นหาและคัดกรองสถานีชาร์จพลังงาน รวมทั้งบันทึกตำแหน่งที่ตั้งของสถานีลงในจุดหมายของระบบนำทางผ่านดาวเทียม ระบบเครือข่ายการให้บริการ Porsche Charging Service ใหม่ล่าสุด เปิดโอกาสให้ผู้ขับขี่เข้าถึง สถานีบริการชาร์จพลังงาน สาธารณะได้โดยอิสระ ค่าใช้จ่ายในการใช้บริการจะถูกส่งตรงมายังผู้ใช้งานผ่าน Porsche ID account โดยไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนให้ยุ่งยาก
ชุดขับเคลื่อนไฮบริดประกอบด้วยเซลล์พลังงานไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงพร้อมชุดคลัทช์อิสระ electromechanical แตกต่างจากระบบ electro-hydraulic และอุปกรณ์ spindle actuator ในรุ่นก่อนหน้า ให้การตอบสนองที่รวดเร็วและฉับไวกว่าอย่างเห็นได้ชัด ในส่วนของระบบส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะ 8 จังหวะ Tiptronic S ที่ได้รับการปรับแต่งใหม่สำหรับปอร์เช่ คาเยนน์โดยเฉพาะ เกียร์อัตโนมัติชุดนี้ไม่เพียงแต่นุ่มนวลยังสามารถปรับเปลี่ยนอัตราทดได้อย่างรวดเร็ว ลดอาการกระตุกที่เกิดขึ้นขณะเกียร์เปลี่ยน
หนึบแน่นด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ all-wheel drive พร้อมสมรรถนะในการลากจูงสูงสุดกว่า 3.5 ตันด้วยการทำงานของระบบ Porsche Traction Management (PTM) ส่งผลให้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ all-wheel drive ของ คาเยนน์ อี-ไฮบริด ได้รับการควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านอุปกรณ์ map-controlled multiplate clutch เพื่อกระจายแรงบิดไปยังล้อขับเคลื่อนอย่างเหมาะสม การทำงานของระบบดังกล่าวช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถบังคับควบคุมรถยนต์ได้ทุกรูปแบบการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่สไตล์สปอร์ตความเร็วสูงที่ต้องการเสถียรภาพ ในการทรงตัว หรือแม้แต่ในยามบุกตะลุยไปบนเส้นทางทุรกันดารสไตล์ offroad ระบบควบคุมการทรงตัว Porsche Active Suspension Management (PASM) ได้รับการติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน นอกจากนี้สามารถเลือกสั่งติดตั้งอุปกรณ์พิเศษอีกหลากหลายรายการ อาทิ ระบบ Porsche Dynamic Chassis Control (PDCC) ระบบ roll stabilisation และระบบลากจูงรถต่อพ่วงที่สามารถรับน้ำหนักได้สูงสุดถึง 3.5 ตัน
ด้วยตัวถังขนาดใหญ่ทำให้ภายในรถมีความกว้างกว้างขวางตามไปด้วย อีกทั้งความสูงของตัวรถทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นทำได้ไกลกว่ารถที่มีตัวถังเตี้ยๆ แผงคอนโซลดูเรียบแต่ทันสมัยปุ่มควบคุมมีขนาดเล็กทำให้ไม่กินพื้นที่มากนัก มีการแยกกลุ่มของอุปกรณ์ต่างๆอย่างชัดเจน
ตรงแผงคอนโซลจะมีจอกลางที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบภายในรถด้วยการสัมผัส สามารถลงรายละเอียดไปยังระบบต่างๆได้ ส่วนที่ขาดไม่ได้จะเป็นนาฬิกาอนาล็อกที่ติดตั้งเอาไว้ด้านบนของแผงคอนโซล
นับเป็นครั้งแรกของปอร์เช่สำหรับการติดตั้งหน้าจอแสดงผลแบบใหม่ head-up display ทำงานด้วยการฉายภาพข้อมูล ที่เกี่ยวข้องกับระบบต่างๆ ของตัวรถไปยังระดับสายตาของผู้ขับขี่โดยตรงในลักษณะของหน้าจอสีขณะที่แผงหน้าปัดจะมีการใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่าด้วยการจัดวางมาตรวัดให้อยู่ทางด้านซ้ายส่วนทางด้านขวาก็จะเหลือพื้นที่เอาไว้สำหรับแผนที่นำทางเพื่อให้คนขับมองเห็นได้ง่ายเพิ่มเติมจากการแสดงเอาไว้ตรงจอกลาง
ปุ่มควบคุมที่ต้องใช้งานบ่อยๆอย่างปุ่มปรับอุณหภูมิจะถูกติดตั้งไว้ตรงคอนโซลเกียร์เป็นตำแหน่งที่คนขับมองเห็นได้ง่ายและอยู่ใกล้มือ ซึ่งจะรวมไปถึงปุ่มปรับช่วงล่างก็ถูกติดตั้งเอาไว้ในตำแหน่งนี้ด้วย อีกทั้งไม่เกะกะกับการติดตั้งเบรคมือไฟฟ้าให้ใช้งานง่ายและปลอดภัย
เบาะนั่งคู่หน้ามีขนาดใหญ่นั่งสบายปรับด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบนวดไฟฟ้า มีระบบไล่ฝ้ากระจกบังลมหน้า heated windscreen ระบบทำความร้อนภายในห้องโดยสารแยกตำแหน่ง อิสระควบคุมด้วยรีโมท
เบาะหลังพร้อมสำหรับรองรับผู้โดยสาร 3 คนที่มาพร้อมเข็มขัดทั้ง 3 จุด มีที่วางแขนขนาดใหญ่พับเก็บไว้ในพนักพิงยามที่ไม่ได้ใช้งาน ซึ่งสามารถพับพนักพิงลงมาเพื่อเพิ่มพื้นที่จัดเก็บสัมภาระได้
ในตำแหน่งเบาะหลังจะมีช่องแอร์ที่ติดตั้งอยู่ตรงคอนโซลหลังเบาะสามารถปรับอุณหภูมิและความแรงของลมได้ตามต้องการพร้อมช่องเสียบ USB สำหรับโทรศัพท์มาให้พร้อม
พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายรถมีความจุเพียงพอสำหรับการใช้งานปกติซึ่งสามารถปรับเพิ่มได้ด้วยการพับพนักพิงเบาะหลังราบลงไปทำให้พื้นราบเสมอกัน
ส่วนด้านใต้แผ่นพื้นจะมีอุปกรณ์สำหรับชาร์จแบตเตอรี่เก็บซ่อนเอาไว้ไม่ให้เกะกะสายตา
ในส่วนของอุปกรณ์ พิเศษอื่นๆ ที่ได้รับการเพิ่มเติมลงใน คาเยนน์ (Cayenne) เป็นครั้งแรก ได้แก่ ระบบดิจิทัลช่วยเหลือผู้ขับขี่อัจฉริยะ Porsche InnoDrive พร้อมระบบควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ adaptive cruise control และล้ออัลลอยน้ำหนักเบา ขนาด 22 นิ้ว