ยังอยู่ในเจนเนอเรชั่นที่ 10 สำหรับE 220 d Sport จากค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ รถยนต์รุ่นนี้ถือเป็นจุดขายหลักตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งได้รับการยอมรับจากบรรดานักธุรกิจที่ต้องการรถยนต์หรูหรามาใช้งาน การเปลี่ยนแปลงของE 220 d Sportจากโฉมก่อนหน้ามีการขยับขยายตัวรถให้ยาวขึ้น โดยมีความยาวของตัวถังเพิ่มขึ้น 43 มม. เป็น 4,923 มม. จากเดิม 4,880 มม. พร้อมกับการยืดฐานล้อให้ยาวขึ้น 65 มม. จาก 2,874 มม. เป็น 2,939 มม.
E 220 d Sport ได้รับการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปท์ Sensual Purity สง่างามด้วยกระจังหน้าสีเงินเสริมโครเมียม พร้อมตราสัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์ นอกจากนั้นยังลดระยะห่างของล้อถึงกันชนให้สั้นลงจึงได้ฝากระโปรงหน้าที่ยาวขึ้น มีการวางเส้นลายของหลังคา ในสไตล์รถยนต์คูเป้ ที่ทอดตัวเป็นเส้นโค้งยาวจรดด้านหลัง
เมื่อมองตรงๆ จะเห็นถึงความกว้างของซุ้มล้อหลังที่ดูกว้างกว่าซุ้มล้อด้านหน้าซึ่งเป็นเอกลักษณ์ใหม่ของรถซาลูนจากค่ายนี้ ปลายท่อไอเสียเสริมโครเมียม 2 ท่อ ล้ออัลลอยแบบ 5 ก้าน ขนาด 18 นิ้ว สี tremolite grey ไฟหน้าแบบ LED High Performance ไฟ daytime สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน แบบ LED fibre-optic กระจกมองข้างด้านผู้ขับขี่และกระจกส่องหลังปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ
ระบบไฟหน้ามัลติบีม แอลอีดี ความละเอียดสูงมีหลอดไฟแอลอีดี 84 ดวงถูกบรรจุภายในเลนส์ โดยหลอดไฟเหล่านี้ให้ความสว่างสูงแต่ไม่รบกวนสายตาของรถคันอื่นๆ บนท้องถนน การส่องสว่างของโคมไฟแต่ละข้างจะทำงานอย่างเป็นอิสระ สามารถส่องสว่างหรือดับได้โดยอัติโนมัติ ตลอดจนปรับระดับความสว่างตามสภาพถนนได้อย่างเหมาะสม โดยทำงานร่วมกับระบบ Active Light ที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า
ความหรูหรายังคงเป็นจุดขายของรถยนต์รุ่นนี้โดยใช้แผงคอนโซลสีดำที่จะมอบความหรูหราและความสะดวกสบายให้คุณตลอดการเดินทาง โดดเด่นด้วยจอแสดงผลขนาดใหญ่ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น จากชุดหน้าจอความละเอียดสูง ขนาด 12.3 นิ้ว จำนวน 2 จอ ซึ่งแยกเป็นจอกลางกับจอตรงหน้าปัด
สำหรับจอกลางเมื่อเปิดจะเห็นถึงรายละเอียดที่ชัดเจน โดยเฉพาะตอนเปิดดูระบบแผนที่นำทาง 3 มิติ จะเห็นถึงลักษณะของตึกที่ตั้งอย่างชัดเจน แต่ก็จะมีเฉพาะในเมือง พอออกนอกเมืองจะเป็นแผนที่แบบ 2 มิติเช่นเดิม ระบบควบคุมหน้าจอ ด้วยปุ่มควบคุมแบบเมาส์ แต่ใช้การสัมผัสก็ขยับการแสดงผลได้ รวมถึงปุ่มตรงพวงมาลัย ที่ใช้การสัมผัสเพื่อปรับเปลี่ยนหน้าจอเป็นการใช้งานที่สะดวกขึ้น
สำหรับจอที่เป็นหน้าปัดจะแสดงมาตรวัดความเร็วและวัดรอบที่ออกแบบมาให้เหมือนมาตรวัดอนาล็อค ตรงกลางเป็นข้อมูลระยะทาง สามารถเลือกรูปแบบของหน้าปัดได้ 3 แบบตามความชอบ ไม่ว่าจะเป็น แบบคลาสสิค แบบสปอร์ต และแบบโปรเกรสซีพ อีกทั้งยังเพิ่มความสุนทรียภาพในห้องโดยสารด้วยไฟที่ปรับได้ถึง 64 สี
แม้จะเป็นรถยนต์ที่เน้นความหรูหรา แต่ก็ไม่ขาดความเป็นสปอร์ต โดยการเลือกเบาะที่นั่งที่มีปีกขนาดใหญ่ มีแผ่นหลังที่กว้างพอที่จะไม่บีบให้รู้สึกอึดอัด เบาะนั่งหุ้มหนัง ARTICO โดยเบาะคู่หน้าปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมหน่วยความจำสำหรับตำแหน่งที่นั่งพวงมาลัย และกระจกมองข้าง
พวงมาลัยขนาดพอดีเป็นพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง nappa ซึ่งเป็นพวงมาลัยนิรภัยพร้อมเพาเวอร์ปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า และปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ ปุ่มควบคุมแบบสัมผัส (Touch Control button) แผงหน้าปัดแบบ Analogue ระบบ Audio 20 GPS พร้อมจอแสดงผลขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมเพิ่มสุนทรียภาพในการโดยสารด้วยระบบไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารที่ปรับสีได้ถึง 64 สีอีกด้วย
เบาะหลังยังสามารถนั่งได้สบายเมื่อเปลี่ยนจากคนขับรถเองมาเป็นผู้บริหารซึ่งทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ไม่ได้ทิ้งตรงนี้ไปแม้ว่าพวกออพชั่นต่างๆในรถรุ่นนี้หายไปเยอะก็ตาม
ในรถรุ่นนี้จะมีระบบตั้งค่ารถยนต์และระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเปิดระบบปรับอากาศภายในห้องโดยสารด้วยโทรศัพท์มือถือ ปลอดภัยไปอีกขั้นกับระบบ Remote Door Lock/Unlock ที่ช่วยให้ล็อกรถได้จากทุกที่ทั่วโลกไร้ความกังวลเรื่องความปลอดภัยและ มั่นใจได้ว่ารถยนต์จะอยู่ในการควบคุมตลอดเวลาเตรียมพร้อมก่อน ออกเดินทางกับความสบายในแบบที่คุณควบคุมได้ด้วย ระบบPre-entry Climate Control ที่สามารถสั่งเปิดระบบเครื่องปรับอากาศทางไกล ได้ก่อนจะถึงตัวรถ ช่วยให้คุณสตาร์ทและออกเดินทางไปกับความเย็นสบาย ในแบบที่ควบคุมได้เอง
ไม่ต้องกังวลเรื่องตำแหน่งที่จอดรถอีกต่อไปด้วยระบบ Parked Vehicle Locator ที่ช่วยแสดงตำแหน่งของรถยนต์ภายในรัศมี 1.5 กิโลเมตร เพื่อค้นหารถยนต์ที่จอดไว้ได้อย่างง่ายดาย รวมไปถึง Vehicle Tracker ระบบที่ติดตามตำแหน่งรถยนต์ผ่าน GPS และยังมีระบบ Geofencing ฟังก์ชันที่ช่วยจำกัดพื้นที่การขับขี่ เพื่อให้มั่นใจได้ว่ารถจะปลอดภัยและอยู่ในการควบคุม
ยังคงเน้นความประหยัดด้วยเครื่องยนต์ดีเซล แบบแถวเรียง 4 สูบ 16 วาวล์ เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ความจุ 1,950 ซีซี ที่มีอัตราเร่งรวดเร็วทันใจ จาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 7.3 วินาที เครื่องยนต์รุ่นนี้สามารถสร้างกำลังได้ถึง 194 แรงม้าที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,800 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ จึงทำให้รอบเครื่องยนต์ทำได้แค่ 1,400 รอบ/นาที ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. แต่สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 240 กม./ชม.อัตราบริโภคเฉลี่ย18.1กม./ลิตรประหยัดไม่แพ้อีโคคาร์
เครื่องยนต์ดีเซลใหม่ OM 654 Common-rail แบบ 4 สูบ ใน E 220 d ไม่เพียงแต่ทรงพลังกว่าเดิม แต่ยังมอบสมรรถนะอันเร้าใจ และยังเหนือชั้นด้วยประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันและปล่อยไอเสียน้อยกว่าเมื่อเทียบกับรุ่น 651 อัตราเร่งสามารถทำได้อย่างรวดเร็วตามที่ต้องการ โดยไม่ต้องรอรอบ ทำให้สามารถเร่งแซงรถยนต์ที่อยู่ด้านหน้าได้อย่างรวดเร็ว แต่ช่วงออกตัวอาจจะช้ากว่าเล็กน้อย การปรับเปลี่ยนเกียร์ที่ราบเรียบจึงแทบจะไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนเกียร์ เมื่อรวมกับการทำงานของช่วงล่าง ที่ให้ความนุ่มนวลในแบบคนส่วนใหญ่ชอบ ทำให้การเดินทางที่แสนจะสบายแบบนี้ สามารถรองรับสภาพถนนของเมืองไทยได้อย่างเป็นอย่างดี