ไม่บ่อยนักที่จะได้เจอรถที่มีการปรับจูนได้ลงตัวทั้งในเรื่องของเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลังและช่วงล่าง โดยเฉพาะกับรถที่ใช้เกียร์ CVT เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วรถพวกนี้จะมาแต่รอบ เรียกว่าเป็นหนังคนละม้วนกันกับอัตราเร่ง แต่สำหรับฮอนด้าซิตี้ใหม่นี้แก้ปัญหาเหล่านี้ไปได้
เริ่มต้นการทำตลาดในเมืองไทยเมื่อปลายปี 1996 เป็นการเปิดตัว Honda City ครั้งแรกในตลาดเมืองไทยโดยรีบชิงเปิดตัวตัดหน้าโตโยต้าโซลูน่าไปแค่ 2-3 เดือน แต่ก็ต้องเพรี่ยงพล้ำกับเครื่องยนต์ที่มีความจุน้อยกว่า ถึงจะมีการเพิ่มเป็นรุ่น 1.5 ภายหลังก็ยังเป็นรองทั้งๆที่ภาพรวมดูจะสมบูรณ์กว่าก็ตาม
รีบปรับตัวอย่างรวดเร็วกับการปล่อยตัว City Type Z ในปี 1999 ซึ่งมีหน้าตาที่สวยขึ้น กับเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรที่มี Vtec ให้เลือก ส่วนเกียร์จะมีทั้งแบบธรรมดา 5 สปีดและ ออโต 4 Speed เรียกได้ว่าเป็น Civic ย่อส่วนได้ใจแฟนๆไปเยอะ
ในปี 2002 Honda City ชิมลางด้วยเกียร์ CVT ประกบคู่กับเครื่องยนต์ i-DSI รุ่นนี้ในบางประเทศใช้ชื่อฟิต เป็นรถที่เสียเปรียบคู่แข่งอย่าง Toyota Vios เยอะ โดยเฉพาะเกียร์ CVT ที่มีปัญหาในการเปลี่ยนเกียร์ไม่ราบรื่นนักเมื่อใช้งานไปนานๆ
พอปรับโฉมใน Generation ที่ 3 ปี 2008 เหมือนกับการข่มคู่แข่งด้วยการเลือกเกียร์ออโต้เฟือง 5 สปีดมาประกบคู่กับเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ทำให้ Honda City รุ่นนี้กลายเป็นรถที่ขับสนุกประหยัดน้ำมันราคาไม่แพง จึงกลายเป็นรถที่ขายดีรุ่นหนึ่งของ Honda ไป
ในการปรับโฉมเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 4 เมื่อปี 2014 คราวนี้ Honda City หันกลับมาใช้เกียร์ CVT เหมือนเดิม แต่ปัญหาในเรื่องของการเปลี่ยนเกียร์ไม่ลื่นหายไป อาจจะมีในเรื่องของรอบเครื่องยนต์มาเร็วกว่าอัตราเร่งก็ถือเป็นเรื่องปกติสำหรับเกียร์ CVT แบบนี้ โดยเครื่องยนต์จะใช้ร่วมกันกับ Generation ที่ 3 แต่กำลังจะลดลงไปเล็กน้อยโดยไปเพิ่มแรงบิดแทน มีระบบความปลอดภัยที่ใส่มาให้หลายอย่าง
สิ่งที่เติมเต็มให้ Honda City รุ่นใหม่เจเนอเรชันที่ 5 นี้ก็คือเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังที่ผู้ใช้ซิตี้ห่างหายไปนานหลังจากที่ฮอนด้าเปลี่ยนใจไปคบหากับเกียร์ CVT ที่ไม่ได้แตกต่างไปจากคู่แข่งที่มีอยู่ในตลาดเดียวกัน ทำให้ขาดจุดเด่นที่เคยมีในเกียร์ออโต้ 5 สปีดไป
เริ่มต้นกับการเปลี่ยนขุมพลังใหม่ซึ่งรถยนต์รุ่นใหม่ชอบทำกันก็คือใช้เครื่องยนต์เล็กแต่ทรงพลังซึ่ง Honda ประสบความสำเร็จมาแล้วใน Civic และ Accord พอมาถึง City จึงได้เครื่องยนต์ใหม่เป็นแบบ 3 สูบ DOHC VTEC 12 วาล์วขนาด 1.0 ลิตร ที่มาพร้อมกับเทอร์โบเพื่อช่วยอัดอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้ได้รวดเร็วขึ้นเพื่อให้ใช้เชื้อเพลิงได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยซึ่งทาง Honda เลือกใช้ระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงแบบฉีดตรงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ด้วยปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงแรงดันสูง ส่งผลให้เกิดการเผาไหม้ที่รุนแรง รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้ราบเรียบและต่อเนื่องพร้อมDual VTC ที่สามารถเพิ่มหรือลดองศาของแคมชาฟท์ในการเปิดปิดวาล์วไอดีและไอเสีย เพื่อเพิ่มสมรรถนะของเครื่องยนต์ และให้การขับขี่ที่ทรงพลัง ตอบสนองการขับขี่ได้รวดเร็ว ระบบ VTEC เป็นการแปรผันระยะยกของวาล์วไอดี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประจุไอดีจำนวนมากเข้าสู่ห้องเผาไหม้ โดยจะแปรผันการทำงาน เพื่อให้สมรรถนะการขับขี่ที่ทรงพลัง ตอบสนองการขับขี่ได้รวดเร็ว
รถรุ่นนี้จะเทอร์โบชาร์จทำหน้าที่อัดอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ได้เร็วขึ้น โดยมีเวสเกตไฟฟ้าควบคุมการทำงานได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งนำไอเสียส่วนเกินกลับมาใช้ใหม่ มีอินเตอร์คูลเลอร์แบบน้ำสำหรับระบายความร้อนอากาศที่มาจากการบูสท์ของเทอร์โบ ช่วยให้การระบายความร้อนทำได้รวดเร็วและยังลดระยะทางของไอดีสั้นลง ส่งผลให้การตอบสนองของเครื่องยนต์รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
เครื่องยนต์ใหม่ ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 173 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 – 4,500 รอบต่อนาที แต่ความแรงของเครื่องยนต์จะเปล่าประโยชน์ถ้าระบบส่งกำลังไม่ดีพอโดยเฉพาะกับเกียร์ CVT ที่ส่วนใหญ่รอบเครื่องยนต์จะวิ่งนำอัตราเร่งไปไกล แต่ในตัว City ใหม่นั้นอาการเหล่านั้นหายไปสิ่งที่ได้คือความรู้สึกเหมือนกับการขับรถเกียร์ออโต้ หรือเกียร์ธรรมดาอยู่ เวลากดคันเร่งเบาๆเพื่อเพิ่มความเร็ว รอบเครื่องยนต์จะขยับขึ้นไป 2-300 รอบต่อนาทีเท่านั้นเอง ส่วนการกดคันเร่งแรงๆรอบเครื่องยนต์ก็จะขยับขึ้นไปพันกว่ารอบ แค่นี้ก็แซงรถคันข้างหน้าได้รวดเร็วแล้ว อาการรอบไหลแต่ความเร็วไม่ไปจึงไม่เห็นใน City ใหม่รุ่นนี้
รอบเครื่องยนต์ที่ใช้ 1,800 รอบต่อนาทีที่ความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การใช้โหมดสปอร์ตรอบเครื่องยนต์ก็จะสูงขึ้นอีก 1,500 รอบ จากรอบเครื่องยนต์ที่ไม่สูงขึ้นมากเวลากดคันเร่งจึงส่งผลให้ตัวเลขบริโภคน้ำมันดูสวยมากไม่แพ้พวกรถอีโคคาร์ทั้งหลาย โดยทำได้สูงถึง 20.4 กิโลเมตรต่อลิตรเมื่อวิ่งนอกเมือง แต่โดยเฉลี่ยแล้วจากการขับทั้งหมดทำได้ 19.1 กิโลเมตรต่อลิตรซึ่งถือเป็นความประหยัดที่หาตัวเทียบได้ยาก
สำหรับการตกแต่งของ Honda City RS ช่วยทำให้รถซิตี้คาร์ดูสปอร์ตหรูหรามากกว่าที่เคย ด้วยชุดแต่งสไตล์สปอร์ตแบบ RS รอบคัน โดดเด่นด้วยกระจังหน้าแบบ Gloss Black และสัญลักษณ์ RS มาพร้อมกันชนหน้าและกระจังหน้าสไตล์สปอร์ต ไฟหน้าดีไซน์ใหม่แบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED ไฟตัดหมอกแบบ LED กระจกมองข้างสีดำแบบสปอร์ตพร้อมไฟเลี้ยวในตัว
มาพร้อมโครงสร้างตัวถังในสไตล์ Wide & Low ที่ให้ความสปอร์ตปราดเปรียวมากยิ่งขึ้น สปอยเลอร์หลังแบบ Gloss Black พร้อมสัญลักษณ์ RS และล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตขนาด 16 นิ้ว
ภายในรถก็ไม่แคบนั่งได้สบายๆสำหรับในรุ่น RS จะได้การตกแต่งด้วยแผงคอนโซลกับการเดินด้ายสีแดง ใช้เส้นสายแนวนอนเพื่อช่วยเพิ่มความรู้สึกโปร่งโล่งและสะดวกสบายในการขับขี่ อุปกรณ์ที่มีอยู่บนแผงคอนโซลจะมีไม่มากนัก รถรุ่นนี้จะได้จอกลางแบบสัมผัสขนาดใหญ่ที่ไม่สะท้อนแสงทำให้มองเห็นได้ชัดเจน พวงมาลัยเป็นแบบสปอร์ตมีช่องรับนิ้วหัวแม่มือจึงจับได้กระชับเป็นพวงมาลัยหุ้มหนังเดินด้วยด้ายสีแดง
เบาะนั่งเป็นเบาะหนังกลับดีไซน์ใหม่ตกแต่งด้วยด้ายสีแดงใช้วัสดุผสมที่มีปีกข้างขนาดใหญ่พอสมควร การปรับก็จะใช้การปรับด้วยมือไม่ได้ใช้การปรับด้วยไฟฟ้า เป็นเบาะนั่งที่นั่งได้สบายพอสมควรทั้งการใช้งานในเมืองหรือเดินทางไกล
ขณะที่เบาะหลังจะรองรับได้ 3 คนมีพนักพิงศีรษะและเข็มขัดมาครบทุกตำแหน่ง พร้อมที่เท้าแขนซึ่งจะพับเก็บไว้ในพนักพิง เมื่อดึงลงมาก็จะสามารถวางแก้วน้ำได้ 2 ใบ
นอกจากเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังที่ทำได้ดีแล้วช่วงล่างก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งที่ทำให้ City ใหม่มีความสมบูรณ์มากขึ้นกับการเกาะถนนที่ทำได้ดีพอสมควร พวงมาลัยหนักมือเมื่อใช้ความเร็ว ส่วนการขับขี่ในเมืองหรือนอกเมืองก็ให้ความรู้สึกที่ดีพอๆกัน