ช่วงน้ำมันแพงเมอเซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ก็นำอี-คลาส รุ่นติดแก๊สมาขาย ที่น่าแปลกใจก็คือปกติรถติดแก๊ส ราคาจะแพงกว่าปกติ เพราะต้องนำอุปกรณ์แก๊สใส่เพิ่มเข้าไป แต่ราคาของอี 200 เอ็นจีทีกลับเป็นราคาต่ำสุดของตระกูลอีคลาสเข้าไปซะงั้น ด้วยค่าตัวตั้งไว้ 3,549,000 บาทสำหรับรุ่นอิลิแกนท์ หน้าตาภายนอกไม่เห็นความแตกต่างไปจากอี-คลาส ทั่วๆไป มองด้านไหนก็ไม่รู้ว่านี่คือรถติดแก๊ส หากมองช่องเติมแก๊สที่รถทั่วๆ ไปติดไว้ตรงห้องเครื่องก็ไม่มี เพราะอี 200 เอ็นจีทีจะรวมชุดอยู่ติดกับช่องเติมน้ำมันใช้ฝาปิดถังน้ำมันชิ้นเดียวกัน
อี-คลาส ติดแก๊สรุ่นแรกจะมีถังแก๊สอยู่ 2 ใบ ได้ระยะในการเดินทางราว ๆ 180-190 กม. แต่ในรุ่นนี้การออกแบบถังแก๊สจะแยก 2 ใบวางอยู่ใต้พื้นของห้องเก็บของ ส่วนอีกใบจะอยู่หลังเบาะ มีจุดยึดแน่นหนา แข็งแรง ปลอดภัยเวลาเกิดอุบัติเหตุ ข้อดีของรถติดแก๊สจากโรงงานคือการออกแบบติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ทำได้อย่างลงตัวจากการออกแบบพัฒนา ไม่เหมือนกับรถที่นำมาติดทีหลังจะมีส่วนเกินค่อนข้างเยอะ
แตกต่างกันบ้างสำหรับเครื่องยนต์ที่ใช้ในรุ่นธรรมดากับติดแก๊ส แม้ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร เหมือนกัน ในรุ่นธรรมดาจะใช้เทอร์โบแปรผันมาช่วยเติมอากาศแต่ละรอบให้มีกำลังเต็มที่ เครื่องยนต์ติดแก๊สจะมีความคล้ายกันก็คือ เป็นรถที่มีรอบขึ้นเร็ว แต่อัตราเร่งมาช้าทำให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น เพราะค่าออกเทนของแก๊ส เอ็นจีวีหรือซีเอ็นจีสูงถึง 120 ขณะที่ค่าออกเทนของน้ำมันสูงสุดคือ 95 ทางวิศวกรของเมอเซเดส-เบนซ์ จึงพัฒนาเครื่องยนต์เบนซินให้ก้าวล้ำไปอีกขึ้น สามารถเลือกใช้น้ำมันเบนซินหรือแก๊สเอ็นจีวีเป็นเชื้อเพลิงได้โดยยังคงกำลังเอาไว้ได้เหมือนเดิม
เครื่องยนต์เบนซินแถวเรียงสี่สูบวางหน้าขับเคลื่อนล้อหลังขนาด 1796 ซีซี ใช้ระบบซูเปอร์ชาร์จแทนเทอร์โบเพื่อลดปัญหาขาดกำลังในช่วงรอบต่ำๆ โดยเฉพาะตอนใช้แก๊ส กำลังสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 5500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 240 นิวตัน-เมตร ที่ 3,000 -4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้เวลา 10.4 วินาที ความเร็วสูงสุดทำได้ 224 กม./ชม.
ความแตกต่างจากรุ่นที่แรกเวลาเลือกระบบเชื้อเพลิงจะใช้แก๊สก่อนเมื่อหมดแล้วจะใช้น้ำมันต่อโดยมีปุ่มกดเลือกเชื้อเพลิงอยู่ด้านล่างของแผงคอนโซล พอขึ้นไปนั่งแล้วออกตัวอี 200 เอ็นจีทีจะไม่มีปุ่มควบคุมด้านนอกจึงไม่รู้ว่าใช้เชื้อแพลิงอะไรอยู่ในตอนนั้น อาจจะงงหน่อยสำหรับคนที่เพิ่งได้ขับเป็นครั้งแรก การเลือกเชื้อเพลิงทำได้โดยปุ่มควบคุมบนพวงมาลัยเพื่อเลือกเป็นแก๊สหรือน้ำมันเลือกแล้วระบบจะจำไว้ เวลาสตาร์รถทุกครั้งจะใช้เชื้อเพลิงชนิดนั้นอยู่ตลอดเวลายกเว้นเชื้อเพลิงหมด ระบบควบคุมจะเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงที่เหลือและตัดกลับอัตโนมัติเวลาเชื้อเพลิงที่เลือกไว้ถูกเติมเข้ามา
บนจอแสดงผลจะมีอัตราบริโภคเฉลี่ยของเชื้อเพลิงแต่ละแบบไว้ให้ อัตราบริโภคของแก๊สที่ใช้ในการเดินทางทั่วๆไปจะได้ระยะทาง 294 กม.ดีขึ้นกว่ารุ่นที่แรกเยอะ ส่วนหนึ่งมาจากถังที่เพิ่มขึ้นอีกถัง อีกหนึ่งมาจากเครื่องยนต์ที่ประหยัดมากขึ้นกว่าเดิมด้วย อัตราเร่งของน้ำมันจะช้าหน่อยตอนออกตัว เนื่องจากตัวถังใหญ่ พอได้ความเร็วสัก 40 กม./ชม. ไปแล้ว อัตราเร่งจะมาเร็วขึ้น ความราบเรียบในการเปลี่ยนเชื้อเพลิงจากการใช้กล่องควบคุมทั้งแก๊สและน้ำมันอยู่ในกล่องเดียวกันจึงได้ค่าที่เสถียรกว่าพวกกล่องควบคุมที่แยกจากกัน
สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับอี-คลาส คือความหรูหราภายในห้องโดยสารยังคงมีให้ครบครันด้วยเบาะนั่งปรับไฟฟ้า มีปุ่มควบคุมอยู่ตรงคอนโซลกลางเบาะที่เป็นจุดควบคุมหลัก โดยมีจอแสดงที่มองเห็นได้ชัดเจนอยู่ตรงกลางคอนโซล
ช่วงล่างนุ่มๆ ยังคงเป็นจุดขายของอี-คลาส อยู่เช่นเดิม การเดินทางในเมืองแม้จะเจอสภาพถนนไม่เรียบแต่แรงสะเทือนของถนนยังไม่ส่งถึงผู้โดยสารที่นั่งอยู่ในรถ จึงเป็นรถที่ยังคงเป็นผู้นำในเรื่องรถหรูอยู่
ถึงแม้จะมีถังแก๊สเพิ่มมา 3 ใบ หากมองกันจริงๆ ก็ยากที่จะมองเห็นเพราะเก็บไว้มิดชิดและยังคงพื้นที่เก็บของเอาไว้ถึง 400 ลิตร สำหรับเก็บสัมภาระในการเดินทางด้วยราคาที่ต่ำสุดในตระกูล อี-คลาสด้วยกันแถมยังได้เชื้อแพลิงที่มีราคาถูกปลอดภัย จากความไวไฟน้อยกว่าเชื้อเพลิงแบบอื่น หากรั่วก็จะลอยขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ถึงราคาเอ็นจีวีจะสูงขึ้นก็ยังคงต่ำเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงชนิดอื่น