บริษัท บีเอ็มดับเบิ้ลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย จัดกิจกรรม BMW Motorrad Track Experience Power by California Superbike School พาลูกค้าสายซิ่งมาเปิดประสบการณ์หวดคันเร่งบนสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ โดยมีโรงเรียนสอนการขับขี่บิ๊กไบค์ชื่อดังอย่าง “แคลิร์ฟอเนีย ซูเปอร์ไบค์ สคูล” California Superbike School ที่มีประสบการณ์สอนอย่างช่ำชองจากประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเฮดโค้ชติวเตอร์นักบิดหน้าใหม่แบบตัวต่อตัว โดยใช้รถสปอร์ตที่ดีที่สุดในปัจจุบันอย่าง BMW S 1000 RR เป็นม้าฝึกในการเรียนการสอนครั้งนี้
โดยกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 10-12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีเหล่านักบิดสาวกค่ายกังหันลมสีฟ้า ตบเท้าเข้ามาร่วมกิจกรรมกว่าร้อยชีวิต ซึ่งกฎการเข้าร่วมกิจกรรมนั้นจะเน้นไปที่ความรู้ควบคู่กับความสนุกโดยอยู่ภายใต้พื้นฐานของความปลอดภัย ซึ่งการเรียนการสอนนั้นจะแบ่งนักเรียนออกเป็น 4 ระดับ
สำหรับกิจกรรมนี้ Autowoke ขอลงเรียนในระดับที่ 1 ซึ่งเป็นระดับพื้นฐาน การเรียนการสอนจะค่อยเป็นค่อยไปโดยมีครูฝึกมากประสบการณ์ขี่สอนแบบติวเข้มตัวต่อตัว โดยแก้ไขจุดบกพร่องในแต่ละโค้ง รวมถึงการพัฒนาความคิดเรื่องการขับขี่ และเข้าใจหลักสรีระศาสตร์ของรถจักรยานยนต์ BMW S 1000 RR ซึ่งเป็นรถสปอร์ตที่พกแรงม้ามากว่า 207 ตัว และมีช่วงล่างที่ชาญฉลาด พร้อมทั้งลูกเล่นระบบอิเล็คทรอนิคอันแพรวพราวคอยช่วยเหลือนักบิด เปรียบได้ดั่งฉลามขาวออกล่าเหยื่อ ที่นอกจากจะมีความรวดเร็วเป็นอาวุธ ยังมีสมองที่ฉลาดว่องไว จัดเป็นรถสปอร์ตที่ดีที่สุดคันหนึ่งของค่าย BMW ที่เคยผลิตมา
การขับขี่จะถูกแบ่งออกเป็นทั้งหมด 6 หัวข้อการฝึก และในแต่ละหัวข้อจะใช้เวลาในการขับขี่ประมาณ 30 นาที นั้นหมายความว่าผู้เข้าร่วมหลักสูตรจะได้เพิ่มพูนทักษะบนหลังอานของ”เจ้าฉลาม” S 1000 RR กว่า 3 ชม.เต็ม มากพอที่จะเข้าใจถึงแนวทางการแก้ไขและปรับเพิ่มพูนทักษะการขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น ก่อนการขับขี่ทุกครั้งจะมีการบรีฟเพื่อให้ข้อมูลเกริ่นก่อนจะเข้าถึงทักษะที่จะลงไปฝึกในสนาม จากนั้นจะเป็นการฝึกขับขี่จริงโดยจะมีโค้ชขี่ประกบตัวต่อตัว และภายหลังจากขี่เสร็จจะกลับเข้ามาชี้แจงข้อผิดพลาดที่เกิด ซึ่งนักเรียนจะสามารถพัฒนาทักษะได้แบบเรียลไทม์ ไม่มีการลองถูกลองผิดในระหว่างการฝึก ช่วยให้การพัฒนาเป็นไปอย่างถูกต้องและรวดเร็วมากขึ้น
ต่อจากนี้จะเป็นการอธิบายการฝึกในแต่ละหัวข้ออย่างพอสังเขป เพื่อเป็นความรู้สำหรับผู้ที่สนใจลงเรียน และในการขับขี่ผู้เรียนจะต้องสวมชุดเรซซิ่งสูทในระหว่างลงเรียนเท่านั้น รวมถึงหมวกกันน็อตเต็มใบมาตรฐาน TIS-360-2559 , ถุงมือหนัง , รองเท้าบูทสำหรับขี่มอเตอร์ไซค์มีความสูงเกินครึ่งหน้าแข้ง เมื่ออุปกรณ์พร้อมแล้ว เราไปลุยกันได้เลย
หัวข้อการฝึก#1 การควบคุมคันเร่ง จะเป็นการปรับพื้นฐานและความเข้าใจของการขับขี่มอเตอร์ไซค์ โดยเฉพาะการควบคุมคันเร่งที่เป็นทักษะสำคัญประการหนึ่ง โดยการควบคุมมอเตอร์ไซค์มีด้วยกัน 6 การควบคุม ประกอบไปด้วย การควบคุมคันเร่ง , การควบคุมเบรคหน้า , การควบคุมเบรคหลัง , การควบคุมครัชท์ , การควบคุมเกียร์ และ การควบคุมแฮนด์ (ทิศทาง) ซึ่งถ้าเราสามารถควบคุมปัจจัยในแต่ละข้อได้เป็นอย่างดี ว่าจะใช้ตอนไหน มากน้อยแค่ไหนจะทำให้การขับขี่ดีขึ้น โดยความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในระหว่างการเข้าโค้งนั้นมี 2 ตัวแปรนั้นก็คือ ความเร็วผิด และ ทิศทางผิด ซึ่งแน่นอนว่าในหัวข้อการฝึกแรกนั้น จะเน้นไปที่การควบคุมคันเร่งเป็นหลัก โดยแบบฝึกที่ใช้ขับขี่ในสนามจะถูกกำหนดให้นักเรียนขับขี่ด้วยเกียร์ 4 เพียงเกียร์เดียวตลอดเวลา นั้นหมายถึงทุกโค้งทุกทางตรงแต่มีข้อแม้อย่างหนึ่งที่ถูกตั้งขึ้นเอาไว้นั้นก็คือ “ห้ามใช้เบรกรวมถึงการเชนจ์เกียอย่างเด็ดขาด” ฟังแล้วอาจจะดูขัดใจกับหลักการขับขี่ที่เราคุ้นเคยกันมาก
ลงฝึกจริง หลังจากฟังบรีฟเสร็จก็รีบจัดแจงสวมชุดลงสู่ภาคปฎิบัติ ซึ่งครูฝึกจะขี่นำและแสดงจังหวะการใช้คันเร่งด้วยการชูมือขึ้นพร้อมทั้งบิดข้อมือ ซึ่งบทเรียนนี้จะใช้เฉพาะทางโค้งเท่านั้น กล่าวคือเมื่อเราใกล้ถึงทางโค้ง ครูฝึกจะยกมือซ้ายขึ้นมาให้เห็นในลักษณะการบิดคันเร่ง โดยในจังหวะแรกจะเป็นการปิดคันเร่งก่อน แล้วจะค่อยๆเปิดคันเร่งขึ้นเรื่อยๆจนสุด ซึ่งจังหวะเปิดและปิดคันเร่งจะสัมพันธ์กันกับโค้งในแต่ละโค้ง ยิ่งโค้งกว้างและยาวการเปิดคันเร่งจะไต่ระดับการเปิด-ปิดที่ช้า แต่หากเป็นโค้งที่สั้นและแคบ การเปิด-ปิดคันเร่งจะสั้นและรวดเร็ว
TIP หัวใจสำคัญของการเปิดคันเร่งนั้นคือความนิ่มนวลในการเปิดคันเร่ง (Smooth) ซึ่งแบบฝึกแรกนี้จะช่วยให้เราทราบถึงจังหวะการใช้คันเร่งในทางโค้งได้ดีขึ้น และการใช้คันเร่งนี้เองเป็นจุดชี้เป็นชี้ตายของการควบคุมเวลา ซึ่งหากใครทำแบบฝีกหัดนี้ได้ดี เวลาที่ใช้ก็จากน้อยลงนั้นหมายถึง คุณจะเริ่มขี่รถได้อย่างรวดเร็วขึ้นในทางโค้งนั้นเอง
ปล.การควบคุมคันเร่งที่แย่ แม้ว่าช่วงล่างจะดีแค่ไหนก็ไม่มีความหมาย
การแก้ไข หลังฝึกขี่ในหัวข้อแรกไปแล้ว คราวนี้จะเป็นการติวแก้ไขข้อบกพร้องในแต่ละจุด ซึ่งส่วนใหญ่ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นคือการใช้ความเร็วที่ไม่สม่ำเสมอ จนทำให้”แหกกฎ”ของการฝึกที่ตั้งเอาไว้ ซึ่งทำให้ไลน์การขับขี่นั้นไม่เหมือนกันในแต่ละรอบ ซึ่งจุดนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ดีอย่างแน่นอน ซึ่งปัจจัยนั้นมาจากการใช้คันเร่งที่ผิดจังหวะและไม่สม่ำเสมอ โดยคันเร่งจะกำหนดความเร็วรวมไปถึงไลน์การเข้าโค้งอีกด้วย
ไลน์ของการเข้าโค้งที่ดี ประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบหลักคือ 1.เป็นเส้นตรง = การพยายามให้โค้งนั้นเป็นเส้นตรงให้ได้มากที่สุด 2.มีการเลี้ยวเพียงครั้งเดียว = การเลี้ยวนี้จะดีหรือไม่เริ่มขึ้นอยู่ที่จุดเลี้ยวแรกหรือ Turning point ซึ่งเราจะเรียนกันในเซ็กชั่นต่อไป และข้อสุดท้ายข้อที่ 3. นั้นก็คือการควบคุมคันเร่งที่ดีนั้นเอง ซึ่ง Sense of speed นั้นมีความสำคัญ
หัวข้อการฝึก#2 จุดเลี้ยว
ภายหลังจากพักหายเหนื่อยกับการขี่รอบแรก ก็เข้าห้องเรียนกันอีกครั้ง โดยในหัวข้อนี้หัวใจหลักจะต่อเนื่องจากครั้งที่แล้วนั้นก็คือ “จุดเลี้ยว” (Turning point) ซึ่งจุดเลี้ยวนั้นจะกำหนดไลน์การขับขี่ที่ดีในแต่ละโค้ง หรืออาจจะเป็นไลน์ขี่ที่แย่ตั้งแต่เริ่มเลี้ยว ซึ่งไลน์ขับขี่ที่ดีที่สุดนั้นไม่มีอยู่จริง เพราะปัจจัยที่ส่งผลต่อไลน์การขับขี่นั้นแตกต่างกันออกไป ได้แก่ สไตล์การขับขี่ , รถ , ประสบการณ์ ซึ่งในเซ็คชั่นนี้ครูผู้สอนได้กำหนดไลน์มาตรฐานไว้บนแทร็คของสนามด้วยเครื่องหมายกากบาท X ซึ่งเป็นจุดเลี้ยวที่ทุกคนต้องทำตาม และมีกฎเหล็กเหมือนรอบแรกนั้นก็คือห้ามใช้เบรก
ลงฝึกจริง รอบนี้ครูฝึกจะขี่นำและให้สัญญาณมือในจุดเลี้ยวซึ่งมีเครื่องหมายกากบาทติดไว้บนพื้นสนาม ซึ่งเราจะต้องนำรถเข้ามาที่จุดนี้ทุกครั้งและเริ่มการพับรถเพื่อเลี้ยวเข้าโค้ง ก่อนที่จะนำรถเข้าใกล้ Apex หรือบริเวณที่ใกล้เคียงที่สุดของการเลี้ยวนั้นๆ หรืออีกความหมายหนึ่งที่เข้าใจกันก็คือ “ยอดโค้ง”นั้นเอง และในแต่ละโค้งของสนามช้างฯจะมีจุดเลี้ยวที่แตกต่างกันออกไป รวมถึง Apex อีกด้วย ซึ่งหากเราสามารถฝึกขั้นตอนการควบคุมคันเร่งได้ดีในหัวข้อแรก จะส่งผลให้เราไม่พลาดจุดเลี้ยวในการฝึกรอบที่สองนี้ได้
TIP การมีจุดเลี้ยวที่ดีสัมพันธ์กับการใช้คันเร่ง เพราะฉะนั้นความเร็วจึงเข้ามาเป็นปัจจัยหลักที่ควบคุมความสัมฤทธิ์ผลของแบบฝึกนี้ ซึ่งหากมาเร็วหรือเลี้ยวเร็วเกินไป จะส่งผลต่อไลน์การเข้าโค้งที่จะผิดเพี้ยน (บานโค้ง) ดังนั้นการก่อร้างสร้างปราสาทจึงต้องใช้อิฐทีละก้อน การขี่มอเตอร์ไซค์ก็เหมือนกัน ดังนั้นความสำคัญของทักษะที่ฝึกไปตั้งแต่แรกเริ่มนั้นอยู่ที่รากฐาน ให้กลับไปดูเกร็ดการขับขี่ในหัวข้อแรกแล้วจะเข้าใจความผิดพลาด (อย่าใจร้อน)
ขั้นแก้ไข ให้นักเรียนพยายามมาร์คจุดปิดคันเร่งในสนามของตนเอง ซึ่งจุดนี้จะอยู่ก่อนถึงจัดเลี้ยวที่ส่งผลต่อความเร็วและการกำหนดจุดเลี้ยวรวมถึงไลน์ในการเข้าโค้ง ซึ่งการใช้ความเร็วที่สม่ำเสมอในการฝึกนั้นเป็นสิ่งที่ดี เพราะเราสามารถที่จะแต่งความเร็วก่อนเข้าโค้งได้อย่างสมบูรณ์ หลีกเลี่ยงการขี่เร็วจนเกินไป เพราะสุดท้ายจะต้องเบรกจนตัวโก่ง ซึ่งนอกจากจะผิดกฎเรื่องการห้ามเบรกแล้ว ยังจะเสียจังหวะและไม่เกิดการพัฒนาที่ถูกต้องอีกด้วย เพราะเมื่อเรามาเร็วเกินไปสัญชาติญาณการเอาตัวรอดซึ่งเกิดจากความกลัว (Survival Instinct) จะเข้ามาทำงาน ส่งผลให้เกิดความเกร็ง มือเราจะเหนี่ยวเบรกเป็นอัตโนมัติ ตัวแข็งเกรงไม่สามารถควบคุมรถได้ สายตาจะเพ่งไปในบริเวณที่รถจะบานออกแทนที่จะมองหาทางออก สุดท้ายก็จะบานโค้ง
หัวข้อการฝึก#3 การเลี้ยวแบบเร็ว
พื้นฐานการควบคุมนั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 ประการ นั่นคือการเปลี่ยนความเร็วและการเปลี่ยนทิศทาง ดังนั้นการพัฒนาความคล่องแคล่วในการเปลี่ยนทิศทางของรถ แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อยแต่ก็ส่งผลอย่างมากต่อการขับขี่ ซึ่งทักษะการเลี้ยวแบบเร็วนั้น จะช่วยให้เราเปลี่ยนทิศทางของรถได้อย่างราบเรียบและฉับไว ซึ่งนั้นก็คือการใช้เทคนิค Counter steering มาช่วย
สำหรับเทคนิค Counter steering นั้นคือการเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว เช่น หากเราต้องการเลี้ยวขวากระทันหัน ให้ดันแฮนเดิ้ลบาร์ด้านขวาไปข้างหน้า ซึ่งจะทำให้ล้อเลี้ยวไปทางซ้าย โดยจุดนี้เองรถจะเสียสมดุลไปชั่วขณะ เนื่องจากแนวของล้อหน้าและล้อหลังไม่เสมอกัน น้ำหนักของรถจะเคลื่อนตัวจากกึ่งกลางไปด้านขวา ในจังหวะนี้รถจะเลี้ยวและเอียงไปด้านขวาอย่างรวดเร็ว หากต้องการเลี้ยวซ้ายก็เพียงดันแฮนด์ไปด้านซ้ายเช่นเดียวกัน
ลงฝึก Counter steering
สำหรับการฝึกเทคนิคนี้จะแบ่งการฝึกออกเป็น 2 สนาม โดยสนามฝึกแรกจะทำในพื้นที่เปิดโล่งนอกสนามแข่ง และใช้รถ S1000R สปอร์ตเปลือยมาฝึกแทน เนื่องจากการตอบสนองของแฮนด์บาร์ทรงกว้างจะช่วยให้ผู้ฝึกๆได้ง่ายและเข้าใจมากยิ่งขึ้น ก่อนที่จะลงสนามจริงและใช้เทคนิคนี้ แต่ก็ยังมีกฏบังคับให้ผู้ฝึกใช้เกียร์ 3-4 และยังห้ามเบรกอยู่ โดยการฝึกนี้ครูผู้สอนจะยังคงขี่นำหน้า และให้สัญญาณเลี้ยว ณ จุดเลี้ยวเดิม (Turning point) แต่ที่แตกต่างออกไปคือการใช้เทคนิคเลี้ยวเร็วเข้าร่วมด้วย
TIP ให้ดันแฮนด์ฝั่งที่ต้องการจะเลี้ยว เช่น เลี้ยวขวาดันแฮนด์ขวาไปข้างหน้า เลี้ยวซ้ายดันแฮนด์ซ้ายไปข้างหน้า แต่ต้องกระทำด้วยความนิ่มนวล ค่อยๆเพิ่มน้ำหนักและระยะเวลาที่ใช้แรกผลักจนเริ่มเลี้ยวได้อย่างคล่องแคล่ว หลีกเลี่ยงการผลักที่รวดเร็วและรุนแรง เพราะอาจทำให้รถเสียอาการเกินกว่าจะควบคุม
การแก้ไข
เมื่อผู้ฝึกเริ่มฝึกได้อย่างถูกต้องตั้งแต่บทเรียนแรกจะพบว่าการเลี้ยวนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายและเร็วขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่อาจทำพลาดได้คือน้ำหนักที่ใช้ในการผลักแฮนด์ไปด้านหน้า ซึ่งอาจจะหนัก,เบา,ช้า,เร็วไม่สม่ำเสมอกัน ส่งผลต่อจุดเลี้ยวและไลน์ที่ยังไม่แน่นอน เป็นผลมาจากความเร็วก่อนเข้าโค้งที่มีมากเกินไป จึงควรใช้ความเร็วให้เหมาะสมเพื่อให้ผู้ฝึกมีเวลาปฎิบัติทักษะได้ละเอียดมายิ่งขึ้น
หัวข้อการฝึก#4 การควบคุมโดยตัวผู้ขี่เอง
การบังคับรถให้เป็นไปอย่างที่ต้องการนั้นขึ้นอยู่กับเทคนิคการขับขี่เป็นหลัก “ไม่ใช่ใส่โช้คอัพราคาแพงที่คุณเสียเงินซื้อมา …. ยิ่งน้อยเท่าไหร่ ยิ่งดีเท่านั้น” ที่พูดมาเช่นนี้นั้นก็เพราะว่าโดยธรรมชาตินั้น รถจักรยานยนต์มีเสถียรภาพที่ดีอยู่แล้ว แต่กลับกลายเป็นผู้ขี่เองที่ทำให้รถขาดเสถียรภาพ ดังนั้นเราต้องปล่อยให้รถควบคุมเสถียรภาพในตัวของมันเอง จะเห็นได้ว่าการที่เราออกแรงบังคับรถให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการ สำหรับผู้ขับขื่มือใหม่นั้นจะใช้มือเกาะแฮนด์ค่อนข้างแน่น แต่ความจริงแล้วเราสามารถผ่อนแรงเกาะแฮนด์ออกไปได้ โดยเพิ่มการยึดเกาะที่ส่วนต้นขาแทน (เข่าหนีบถัง) ทั้งนี้เพื่อให้รถปรับสมดุลในทิศทางด้วยตัวรถเองได้ตลอดเวลา (ปล่อยให้การสบัดของแฮนด์เป็นไปอย่างเล็กน้อย) กล่าวสรุปได้คือสำหรับบทเรียนนี้ต้องการให้ผู้ฝึกผ่อนคลาย Relax ไม่ต้องออกแรงเยอะเกินกว่าจำเป็นนั้นเอง โดยเฉพาะแรงจากแขนและมือในการรักษาตัวเองให้อยู่บนรถ
การฝึก
สำหรับหัวข้อการฝึกนี้จะเน้นไปที่การผ่อนคลายแรงจากแขนและมือในระหว่างขับขี่ ซึ่งครูฝึกจะสาธิตวิธีการนี้ในขณะเข้าโค้ง ด้วยการกระพือท่อนแขนขึ้นลง (คล้ายท่าไก่ตีปีก) และให้ผู้ฝึกทำตามอย่างช้าๆ โดยมีกฏข้อแม้เหมือนเดิมว่าให้ใช้เกียร์ 4-5 ได้และอนุญาติให้เบรคเบาๆได้
TIP#1 เมื่อไม่ใช้แรงแขนและมือในการรักษาตัวเองให้อยู่บนรถ ดังนั้นเราจึงต้องออกแรงใช้ต้นขาหนีบถังน้ำมัน เพื่อเป็นการรักษาเสถียรภาพของร่างกายบนตัวรถ
TIP#2 เมื่อเอียงรถได้ถึงระดับที่คุณคิดว่าเพียงพอแล้ว ให้ผ่อนคลายแรงที่ใช้ในการบีบแฮนด์ลง เพื่อเป็นการปล่อยให้รถปรับสมดุลย์ด้วยตัวเอง ซึ่งผู้ฝึกจะพบว่าแฮนด์จะมีการส่ายเพื่อปรับสมดุลย์ จุดนี้ไม่ต้องตกใจให้เราจับแบบประคองไว้อย่างแผ่วเบา(Relax) จนกว่าจะพ้นทางออกโค้ง (ห้ามไปฝืนแฮนด์เด็ดขาด)
การแก้ไข
เมื่อพบว่าภายหลังการขี่ยังมีอาการเมื่อยบริเวณแขนและมือ นั้นหมายความว่าคุณยังออกแรงในจุดดังกล่าวมากจนเกินไป ต้องปรับท่านั่งใหม่รวมถึงการรู้จักใช้ประโยชน์จากกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่สามารถช่วยให้คุณรักษาเสถียรภาพบนอานมอเตอร์ไซค์ได้ดีกว่า นั้นก็คือแรงหนีบถังจากต้นขาทั้งสองของคุณนั้นเอง
หัวข้อการฝึก#5 การเข้าโค้ง 2 จังหวะ
อีกโสตประสาทหนึ่งที่เป็นปัจจัยหลักในการควบคุมรถที่ดีนั้นคือ “สายตา” โดยปกติแล้วร่างกายเราจะตอบสนองตามสิ่งที่เห็นและสั่งงานให้กลายเป็นปฎิกิริยาตอบสนอง (Reaction) ซึ่งปฎิกิริยาตอบสนองนั้นมีส่วนที่เกิดขึ้นจากสัญชาตญาณการเอาตัวรอดเมื่อเกิดความกลัว (Survival Instinct) ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณเข้าโค้งมาด้วยความเร็วที่สูงจนเกินไป สัญชาตญาณการเอาตัวรอดนี้จะสั่งการให้คุณออกแรงบีบเบรคมากและนานขึ้น รวมถึงสายตาจะไปจดจ่อแต่จุดที่กำลังจะแหกโค้ง แทนที่จะมองไปที่ทางออกของโค้ง ดังนั้นหัวข้อการฝึกนี้จะเน้นไปที่การมองการเข้าโค้ง 2 จังหวะ โดยในจังหวะแรกคือการมองหาจุดเลี้ยว Turning point และจังหวะ 2 คือการหายอดโค้ง Apex ซึ่งจะช่วยให้ไลน์การขับขี่ของคุณมั่นคงและเป็นเส้นตรงมากขึ้น
การฝึก
หัวข้อนี้เป็นหัวข้อสุดท้ายของการฝึกในระดับ 1 สามารถใช้เกียร์ 3-5 รวมถึงการเบรกเบาๆ ให้ผู้เรียนรวบรวมการฝึกตั้งแต่แบบฝึกแรกนำมาปรับใช้ร่วมกันทั้งการควบคุมคันเร่งในโค้ง , จุดเลี้ยว , การเลี้ยวแบบเร็ว , การรีแลกซ์ระหว่างขับขี่ รวมถึงการใช้สายตาในการเลี้ยว โดยเมื่อก่อนถึงทางโค้งให้ชำเลืองมองจุดเลี้ยว และเมื่อจุดเลี้ยวที่มาร์คไว้ให้ท่านเริ่มเลี้ยวโดยใช้เทคนิคCounter Steering และจังหวะนี้เองให้มองไปยัง Apex ที่เราจะนำเราผ่านเข้าไป ในระหว่างนี้เริ่มเปิดคันเร่งตามที่ฝึกมาแต่แรก ก่อนทะยานออกจากโค้งไป ซึ่งครูฝึกจะนำการฝึกแบบตัวต่อตัวจนกว่าผู้ปฎิบัติจะเริ่มขับขี่ได้ดีขึ้น
TIP# เมื่อเราทราบจุดเลี้ยวและการมองโค้งอย่างถูกต้อง จะทำให้รู้สึกช้าลงแม้ว่าจะเข้าโค้งด้วยความเร็วมากขึ้น ดังนั้นการฝึกการเลี้ยวด้วยสายตาและการมองแบบ 2 จังหวะจึงเป็นหัวใจหลักที่สำคัญก่อนที่จะเข้าสู่การเรียนในระดับ 2 ขั้นต่อไป
แก้ไข
ไลน์เข้าโค้งที่ผิดพลาดส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะการมองจุดเลี้ยวนานจนเกิดไป ทำให้เราจดจ่ออยู่ที่จุดเลี้ยวจนลืมจังหวะการมองที่ 2 ไปยังApex ทำให้เสียเวลาและไลน์การขี่ไม่สม่ำเสมอ
Last Lap
ภายหลังจากที่คุณฝึกในแต่ละหัวข้อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในการลงสนามรอบสุดท้ายนี้ให้คุณรวมรวมประสบการณ์การฝึกตลอดวันที่ผ่านมาใช้งาน โดยเซกชั่นการขี่นี้สามารถให้คุณใช้ได้ทุกเกียร์ รวมถึงการเบรกด้วย แต่ต้องระวังเรื่องของอาการเหนื่อยล้าเพราะส่วนใหญ่แล้วอุบัติเหตุจากการฝึกมักเกิดขึ้นในการขี่รอบสุดท้ายนี้แหละ จากนี้ขอให้สวมชุดและขับขี่อย่างปลอดภัย สนุกได้แต่ต้องปลอดภัยไว้ก่อน
สำหรับการฝึกในระดับต่อไปคือระดับ 2
ความรวดเร็วในการประมวลภาพที่ตาของคุณเห็นถึงเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่สำคัญที่สุดสำหรับนักขี่ทุกคน ส่วนการฝึกในระดับ 2 จะยังคงเป็นการฝึกทักษะด้านการมองเห็น โดยเทคนิค”เข้าโค้ง 2 จังหวะ” ที่เพิ่งฝึกไปเป็นเทคนิคพื้นฐานในการเรียนระดับ 2 โดยในการฝึกระดับ 2 จะมีหัวข้อการฝึกใหม่ 5 ระดับ ดังนั้นควรจะฝึกทักษะในระดับ 1 ให้ชำนาญเสียก่อนแล้วกลับมาเจอกันใหม่ในระดับ 2 นะครับ